ที่ว่า “การลงทุนระยะยาวต้องดูกันไปยาว ๆ” นั้นก็ถูก … แต่ในระยะเวลาที่ยาวนั้น มันก็มีระยะเวลาสั้น ๆ ประกอบกันอยู่ ถ้าแต่ละช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น เราขาดทุนไปเรื่อย ขาดทุนเสมอ ขาดทุนซ้ำซ้อน เมื่อเวลาสั้น ๆ นั้นผ่านไปจนรวมกันเป็นระยะยาว ยังไงภาพรวมมันก็ขาดทุนแน่นอน เหมือนตัวเลข 100 ก็เกิดจาก 1 บวกกัน 100 ครั้ง แต่ถ้าเราไม่บวก 1 ให้ได้บ่อย ๆ ได้แต่ 0 เรื่อย ๆ หรือหนักเข้าก็ -1 … กว่าจะไปถึง 100 มันก็คงใช้เวลามหาศาล หรือถ้าแย่ ๆ ก็ไม่มีทางไปถึงได้เลย เหมือนการเดินทาง 100 กิโล ก็เกิดจากการเดินทางย่อย ๆ […]
(ภาพจาก gadling.com) คนเราจะมีแรงบันดาลใจให้เดินหน้าต่อได้ จะต้องมีเป้าหมาย แต่บางคนเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายเกินตัว เช่น ยังไม่มีเงินเก็บเลยแต่ฝันจะรวยหมื่นล้าน แต่พอฟิตอยู่ได้ 10-20 วัน ก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามันเกินเอื้อม หมดแรง ฝันก็เลยเป็นแค่ฝัน สุดท้ายไม่ได้ก้าวไปไหน ส่วนบางคนเริ่มต้นจากเป้าหมายที่พอทำได้ เพราะเข้าใจถึงความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง “ในแต่ละขณะ” หากเริ่มจากศูนย์ ก็อาจตั้งเป้าว่า “หาหนึ่งล้านแรกให้ได้ภายใน 3 ปี นับจากนี้” เราก็ต้องรู้ว่า เฉลี่ยแล้ว ต้องหาให้ได้ปีละ 333,333 บาท หรือเดือนละ 27,778 บาท แล้วก็คิดต่อไปว่า เรามีค่าใช้จ่ายเดือนละเท่าไร ต้องหารายได้เบื้องต้นเท่าไร สุทธิแล้วถึงจะเหลือเดือนละ 27,778 บาท แล้วก็ไปศึกษาต่อว่า มันมีงานอะไรบ้างที่ทำแล้วจะสร้างเงินได้ขนาดนั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์เท่านั้น การลงแรงทำธุรกิจ ทำงาน Freelance ฯลฯ ก็ทำเงินได้เช่นกัน เผลอๆ จะมากกว่า และเสี่ยงน้อยกว่า การลงทุนในหลักทรัพย์ด้วยซ้ำ […]
(ภาพประกอบจาก: www.moneysupermarket.com) คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วประเทศกลุ่มเงินสกุลไหนล่ะ ที่คนไทยไปแล้วคุ้มมากขึ้น หรือ น้อยลง เมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ?!? ในกราฟด้านบนของแต่ละสกุลเงิน จะแสดงมูลค่าของเงิน 1 บาทไทย เมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างประเทศนั้น ๆ ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ย. 2555 – พ.ย. 2557) ถ้ากราฟพุ่งขึ้น แปลว่า เงินบาทเรามีค่าสูงขึ้น ถ้ากราฟตกลง แปลว่าเงินบาทเรามีค่าลดลง • ญี่ปุ่น (Japanese Yen) ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เงินบาท แข็งค่าขึ้น 35% เมื่อเทียบกับเงินเยน แปลว่า ด้วยเงินบาทจำนวนเท่ากัน เวลา 2 ปีผ่านไป คนไทยมีกำลังซื้อสินค้าในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 35%
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้ 1. เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาด 2. เงินเฟ้อลดต่ำลงตามราคาพลังงาน 3. เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จึงมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% ต่อปี โดย 1 เสียงที่เห็นต่าง มองว่าควรลดดอกเบี้ยได้แล้ว ถ้าแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ และการส่งออกยังซบเซา การประชุมงวดหน้าวันที่ 17 ธ.ค. 57 มีลุ้นปรับลดดอกเบี้ยนะเนี่ย … ที่มา: www.bot.or.th ส่วนใครที่สงสัยว่า เจ้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมันคืออะไร สำคัญอย่างไร ทำไมนักลงทุนต้องติดตาม ชวนอ่านต่อที่นี่ครับ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความสำคัญต่อเศรษฐกิจ & การลงทุน“
มีคำถามจากเพื่อนสมาชิกมาจากทางหลังไมค์ น่าสนใจ จึงขอนำมาแช์เป็นบทความครับ 1. ABCD (Nov 3rd, 2:55pm): สวัสดีค่ะหนูชื่อ ABCD (ผมสมมติขึ้นมาแทนชื่อจริง) อยากรวยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะถ้าคุณช่วยตอบคำถามต่อไปนี้ให้กับหนู หนูอายุ 22 ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกคนเดียวแต่ตอนนี้ยังมีภาระคือส่งค่ารถ ค่าเรียนของตัวเองและค่าบัตรเครดิตค่ะซึ่งระหว่างที่หนูกำลังเรียนอยู่นี้ หนูมีลูกอยากจะออมเงินไว้ให้ลูกและตัวเองค่ะ แต่ตอนนี้หนูอยากหาความรู้ในส่วนนี้พอจะแนะนำหน่อยได้หรือเปล่าค่ะว่าจะอ่านส่วนไหนให้ตรงจุดดี ก่อนที่จะลงทุนค่ะ เอาแบบว่าแนะนำตรงส่วนไหนแล้วให้ศึกษาส่วนไหนดีแบบลงตัวเลยค่ะ ลงทุนสัก10 ปี พอดีหนูอ่านแล้วยังพองง ๆ อยู่ค่ะเลยอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ ช่วยหน่อยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
เรียบร้อยโรงเรียน FOMC … ผลการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมา (เช้ามิืดวันที่ 30 ต.ค.57 ตามเวลาประเทศไทย) FED’s FOMC มีมติยุติการซื้อตารสารหนี้ “เพิ่มขึ้น” ในโครงการ QE … ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังกดต่ำไว้ที่ 0.00% – 0.25% ต่อไปอีกระยะ ซึ่งยังไม่ได้บอกว่าจะถึงเมื่อไร … เหตุผลหลักก็คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย (เงินเฟ้อต่ำไปก็ไม่ดี แสดงว่าเศรษฐกิจยังไม่คึกคักเท่าที่ควร) แต่นี่ก็เป็นแค่กลางทางของมาตรการ QE เท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการจบแบบสิ้นเชิง เพราะ ณ เวลานี้เป็นการ “ไม่ซื้อเพิ่ม” … ส่วนของเก่าที่ซื้อสะสมมาตลอด 5-6 ปีที่แล้ว เมื่อครบกำหนดได้รับคืนเงินต้นจากตราสารหนี้ ก็ยังคง “ซื้อกลับ” (Rollover) ต่อไปอีก เพื่อให้ขนาดสินทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับเดิม และเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ต่ำต่อไป (มีแรงซื้อ […]
ผลการเทียบมโนกับข้อเท็จจริง ฉบับฝรั่ง