Category: Investment Articles

มุมมอง ความรู้ ด้านการเงินการลงทุน

สำคัญจริงนะ … อัตราดอกเบี้ยนโยบาย | ตอนที่ 2: กรณีศึกษาการปรับดอกเบี้ยตามไปของ 12 แบงก์

ความเดิมตอนที่แล้วในบทความ สำคัญจริงนะ … อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตอนที่ 1: ขยับดอกเบี้ยฯไปเพื่ออะไร ? ได้เล่าถึงความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กลไกที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และไปจบที่การชี้ให้เห็นความสำคัญของ “ธนาคารพาณิชย์” ในฐานะที่เป็นผู้เล่นหลักในฝั่งเอกชนซึ่งรับไม้ต่อมาจากภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย (คลิก/แตะ ที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่เต็มจอ) เมื่อดูจากโครงสร้างเงินฝากของประเทศไทยซึ่งมีทั้งหมด 11.85 ล้านล้านบาท ก็พบว่าเงินฝากส่วนใหญ่เป็นเงินฝากระยะสั้น ไม่เกิน 3 เดือน ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้หลักของแบงก์พาณิชย์คือ Minimum Loan Rate หรือ MLR (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ณ มีนาคม  2558)

สำคัญจริงนะ … อัตราดอกเบี้ยนโยบาย | ตอนที่ 1: ขยับดอกเบี้ยฯไปเพื่ออะไร ?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คือดอกเบี้ยแกนหลักของประเทศซึ่งมีหน้าที่ประครองเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปอย่างมั่นคง ไม่ตกต่ำจนประชาชนเดือนร้อน และไม่ร้อนแรงเกินไปจนสุ่มเสี่ยง อัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้ จะว่าไปก็เปรียบเหมือนคันเร่งและแป้นเบรคของรถยนต์ ซึ่งเจ้ารถยนต์นี้ก็คือการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อเศรษฐกิจชักจะเหงาหงอย เติบโตต่ำ ซึ่งเปรียบเหมือนรถยนต์ที่วิ่งช้าลงจนแทบหยุด โดยหลัก ๆ ก็จะดูจากการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Production หรือ GDP) ที่ชะลอตัว ยอดการส่งออกสุทธิที่ลดลง และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะเหยียบคันเร่งด้วยการ “ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อส่งสัญญาณให้กลไกหลักในตลาดการเงิน ซึ่งก็คือแบงก์พาณิชย์ ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีแรงฮึดจนกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง กล่าวคือ 1) ส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ “ในฐานะเจ้าหนี้” ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้ลูกหนี้ซึ่งมีทั้งประชาชนและภาคธุรกิจหายใจหายคอได้คล่องขึ้นด้วยเหตุที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลง … เมื่อดอกเบี้ยต่ำลง ลูกหนี้ที่เป็นประชาชนผู้บริโภค ก็มีแนวโน้มจะใช้จ่ายด้วยการก่อหนี้มากขึ้น เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล และเมื่อดอกเบี้ยต่ำลง ลูกหนี้ที่เป็นภาคธุรกิจ ก็มีแนวโน้มที่จะกู้ยืมเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น 2) ส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ “ในฐานะลูกหนี้” ลดดอกเบี้ยเงินฝาก […]

ลดดอกเบี้ยนโยบาย แล้วอะไรจะเกิด ?!?

วันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์คณะหลักของประเทศในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกาศหั่นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย — ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยแกนหลักของประเทศ ที่ใช้กำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่าง ๆ ทั้งหมด ทั้งพันธบัตร เงินกู้ และเงินฝาก — ให้ลดลง 0.25% จาก 2.00% ต่อปี เหลือ 1.75% ต่อปี ด้วยเหตุว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแย่กว่าที่คาด แถมการใช้จ่ายภาครัฐยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเห็นผล (ที่มา: www.bot.or.th) และผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว เท่าที่เห็นผลได้ทันทีและเท่าที่พอจะนึกออกในตอนนี้ก็คือ

อะไรนะ P/E Ratio ของตลาดจะแตะ 22 เท่าอยู่แล้ว !!

เผื่อใครยังไม่รู้ ตอนนี้ค่า P/E Ratio ของ SET Index บ้านเรา พุ่งเกิน 21 เท่า จนจะแตะ 22 เท่าอยู่รอมร่อแล้ว แต่ … แต่ .. ไม่ใช่เป็นผลจากราคาดัชนี (Price) ที่พุ่งสูงขึ้น แถมความจริงดัชนีออกแนวทรง ๆ ทรุด ๆ ด้วยซ่้ำ

(อย่า)เสียดายจนเสียหาย !!

ต้นทุนจม (Sunk Cost) คือ ต้นทุนที่เราจ่ายไปแล้วในอดีต และไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคตเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ไม่สามารถเรียกต้นทุนส่วนนั้นคืนมาได้ เรื่อง Sunk Cost นี้สำคัญมากในการลงทุน เพราะการลงทุนคือการ “มองไปข้างหน้า” ว่าควรเดินต่อไปหรือไม่ ควรลงทุนต่อไปหรือไม่ แต่คนจำนวนมาก มักติดสินใจเดินหน้า หรือลงทุนเพิ่ม เพียงเพราะว่า “เสียดาย” Sunk Cost ที่ได้ลงไปแล้ว … แทนที่จะมองไปข้างหน้า อย่างที่ควร การไม่ใช้เหตุผลพิจารณาต้นทุนจม (Sunk Cost Fallacy) นี้ บางทีก็เรียกกันว่า “Concorde Effect” เพราะมีที่มาจากกรณีศึกษาจริงของการสร้างเครื่องบิน Concorde ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสที่สุดท้ายไปไม่รอดเพราะไม่คุ้มทุนทั้งผู้ผลิตและผู้ให้บริการ แถมรัฐบาลทั้ง 2 ชาติเจ็บหนัก ก็เพราะตัดสินใจเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ (ก่อนที่จะมายอมรับความจริงเอาตอนที่เจ๊ง) ด้วยเหตุที่ว่าได้ลงทุนไปเยอะแล้ว (ภาพจาก 9to5hdwallpapers.com)  ส่วนในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป เราสามารถพบเรื่องราวมากมายที่หมิ่นเหม่จะหลอกให้เราติดอยู่ในต้นทุนจม เช่น • ตั๋วหนังที่เราซื้อมาแล้ว […]

ให้เด็กโตเป็นเจ้าของกิจการ ดีกว่าเป็นลูกจ้างชั้นดี .. เขาว่างั้น !!

(ถ้าเครื่องใครโหลด Sub Thai ไม่ขึ้น กดเข้าไปดูได้ที่ TED ครับ) “ตอนผมเรียน ป.2 ผมชนะการแข่งขันการพูดระดับอำเภอแต่ไม่มีใครพูดสักคนว่า “เฮ้ย เจ้าเด็กนี่ เป็นนักพูดที่ดีนะเนี่ย เขาไม่มีสมาธิ แต่เขารักที่จะเดินไปทั่ว และพูดจูงใจผู้คน” ไม่มีใครสักคนจะพูดว่า “จ้างโค้ชมาฝึกเขาเรื่องการพูดสิ” พวกเขากลับบอกว่า ให้มีครูสอนพิเศษผม ในเรื่องที่ผมยังไม่ดีพอ เมื่อเด็กๆ แสดงทักษะแบบนี้ เราจำเป็นต้องเริ่มมองหาเด็กเหล่านี้ ผมคิดว่า เราควรจะเลี้ยงดูเด็กๆ ให้เติบโตเป็นเจ้าของกิจการแทนที่จะเป็นทนายความ โชคร้าย ที่ระบบโรงเรียนทำให้คนทั้งโลกพากันพูดว่า “นี่ มาเป็นทนายความ หรือเป็นหมอกันเถอะ” และเราก็จะพลาดโอกาสเหล่านั้น เพราะไม่มีใครสักคนที่จะพูดว่า “นี่ มาเป็นเจ้าของกิจการกันเถอะ” … 

ลงทุนยาวไป ได้เท่าไรกันนะ ?!?

จากตัวอย่างทั้ง 4 ก็พอจะเห็นภาพว่า ยิ่งได้ผลตอบแทนสูงเท่าไร เมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้มากขึ้นในอัตราก้าวหน้า !! พอเห็นตัวเลขถึงจุดนี้นักออมเงินรุ่นใหม่ก็มักจะฟินในอารมณ์ เพราะฝันเห็นความมั่งคั่งของตัวเองเพิ่มพูนมหาศาลเมื่อยามสูงวัย จากตัวเปล่า กลายเป็นเศรษฐีหลายสิบล้าน

แต่แล้ว พอจะเริ่มออม/ลงทุนเข้าจริง ๆ กลับไปสะดุดกึกที่คำถามตัวโตที่ว่า “แล้วสินทรัพย์แบบไหนล่ะ ที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว?” หรือไม่ก็ “ถ้าจะหวังผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 15% ต่อปี ต้องลงทุนในอะไร?” หลายคนจึงหยุดกระบวนการฝันฟิน ณ จุดนี้ เพราะไปต่อไปถูก แล้วก็เอาเงินไปฝากออมทรัพย์หรือเอาไปซื้อ smartphone รุ่นใหม่ เช่นเคย

ข้อมูลต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้พอเห็นภาพว่าการลงทุนในอะไร ให้ผลตอบแทนประมาณไหน ในระยะยาว