เมื่อพูดถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดา ก็อาจจะหมายถึงการซื้อที่ดินแปลงไม่ใหญ่นัก คอนโดมิเนียม หรือบ้านเดี่ยว และสำหรับนักลงทุนที่เป็นนิติบุคคล ก็จะขยายขอบเขตขึ้นมาเป็นโครงการขนาดใหญ่ขึ้น อย่างเช่น การสร้างคลังสินค้า ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสำนักงาน ซึ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด จะให้ผลตอบแทนหลัก ๆ 2 รูปแบบคือ (1) ค่าเช่า ซึ่งเกิดจาการสัญญาเช่าระยะยาวที่ทำให้ได้รับกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และ (2) กำไรจากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลธรรมดา หรือของนิติบุคคล สิ่งที่เหมือนกันคือ มักจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่ และสภาพคล่องในการซื้อขายไม่สูงเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หรือกองทุนรวม
เราสามารถเช็คง่าย ๆ ว่า ในการขายของเรา มีเหตุผล และสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนของเรา หรือไม่ ไม่ว่าจะสายคุณค่า หรือสายเทคนิค ถ้าทุกครั้งที่เราขาย เรามีเหตุผล และสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนของเรา .. สามารถบอกตัวเองได้เลย ว่าเราไม่ใช่มนุษย์ Panic .. ต่อให้เราขาย แต่ตลาดดันกลับขึ้นมา เพราะเหตุผลที่เราใช้ มันเกิดจากข้อมูล “ณ ขณะนั้น” ตอนที่จำเป็นต้องตัดสินใจ ตอนที่สถานการณ์อยู่ตรงหน้า ถ้าเหตุผลตอนนี้ถูกต้อง ต่อให้สถานการณ์ในระยะต่อไป (ซึ่งอาจะกินเวลาแค่ครึ่งวัน) มันไม่ใช่แบบที่เราคิด ก็ไม่ต้องเสียใจ ซึ่งการรีบขาย แล้วผิดทาง อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Type I Error คือคิดว่าจะแย่แล้วกลับไม่แย่ ซึ่งตรงข้ามกับ Type II Error คือ คิดว่าไม่แย่หรอก แต่เอาจริง ๆ กลับเยินมาก … ซึ่งตัวอย่าง […]
การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT หรือกองทรัสต์) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นที่รู้กันว่าให้ผลตอบแทนดี ทั้งจากราคาหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้น และทั้งจากเงินปันผลที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ แถมราคาตลาดยังมีความผันผวนต่ำ จากกราฟ ถ้ามองย้อนหลังไปประมาณ 5 ปี ดัชนีราคาของหลักทรัพย์ประเภท Property Fund & REITs ให้ผลตอบแทนใกล้เคียง SET Index อย่างมาก (55.1% เทียบกับ 54.8% โดยยังไม่รวมเงินปันผล) แต่มีความผันผวนเพียง 1 ใน 4 ของดัชนีหุ้น (ดูจากค่า Historical Volatility) (ข้อมูล: บริการเอสเพน ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2559) และหากจะพูดถึงผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจด้านคลังสินค้า โลจิสติกส์ และศูนย์กระจายสินค้า แถวหน้าของไทย ก็คงหนีไม่พ้น […]
การซื้อคอนโดมิเนียม เป็นทางเลือกในการลงทุนที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย เพราะมีโอกาสได้กำไรในอัตราสูง ถ้าซื้อในราคาไม่แพงและได้โครงการที่ดีมีความต้องการสูง และในหลายโอกาสก็พบว่า นักลงทุนรายเดียว ซื้อคอนโดสะสมไว้หลายยูนิต แต่การถือไว้เฉย ๆ แม้โดยทั่วไปจะได้กำไรจากราคายูนิตที่ปรับเพิ่มขึ้น ก็ต้องรอให้ขายได้ (Realized) ถึงจะได้รับกระแสเงินสดที่ลงทุนไปนั้นกลับคืนมา ไม่เช่นนั้น ก็ต้องหาผู้เช่าเพื่อก่อให้เกิดรายได้ตลอดเวลา ในขณะที่เราอาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกยูนิตจะมีคนเช่า และไม่ใช่ว่าจะมีคนเช่าตลอดเวลา ช่วงใดที่ไม่มีคนเช่า รายได้จะหายไป แต่รายจ่ายยังมีอยู่ ต่อให้ไม่ได้กู้เงินแบงก์ ก็ยังต้องจ่ายค่าส่วนกลาง
ถึงจะมีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะขึ้น แต่ดอกเบี้ยและผลตอบแทนทั่วไปในโลกก็ยังต่ำ ยุโรปก็ยังมี QE ญี่ปุ่นก็ยังอัดฉีดเงิน ราคาน้ำมันก็ทรง ๆ ทรุด ๆ เราจึงจะยังอยู่ในยุคที่ดอกเบี้ยและผลตอบแทนต่ำต่อไปอีกพักใหญ่ แต่เงินก็ยังต้องหมุนไป นักลงทุนก็ยังต้องการการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากรวมถึงตราสารหนี้ แต่กระนั้น นักลงทุนก็ไม่อยากเจอความผันผวนจากราคาที่สูงเกินไป
สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นตกมากมาย แค่ 5 วัน SET Index ร่วงไป 76 จุด และถ้านับตั้งแต่สิ้นเดือนก่อน SET Index ร่วงไปแล้ว 103 จุด .. นับเป็นการตอกย้ำวลี “ขึ้นบันไดแต่ลงลิฟท์” อย่างแท้จริง เพราะครั้งสุดท้ายที่ดัชนีอยู่ระดับต่ำกว่า 1445 จุด คือวันที่ 30 มิถุนายน 2559 หมายถึงว่า ใช้เวลา 2 เดือนในการไต่ระดับ แต่แค่สัปดาห์เดียวก็กลับมาที่เดิม ช่วงนี้ จึงน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะ ในการมาตรวจสอบแนวโน้มตลาดหุ้นไทย (ผ่าน SET Index) ว่าเป็นอย่างไรแล้วบ้าง จะเสียทรงไปแค่ไหนแล้ว ทั้งในกรอบเวลาลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งระยะสั้นหมายความถึงการใช้แท่งเทียนแบบ Daily คือข้อมูลการซื้อขาย 1 วันจะแสดงอยู่ในแท่งเทียน […]
คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราคงเคยได้ยินมาบ่อยครั้งว่า “เริ่ม(ลงทุน)ก่อนรวยกว่า” หรือไม่ก็ “ออมวันนี้เพื่อวันหน้า” และก็มักจะเห็นกราฟแสดงจำนวนเงินออมเงินลงทุนระยะยาว ในกรณีที่ได้รับผลตอบแทนต่าง ๆ กัน และ/หรือ กรณีที่ระยะเวลาออม/ลงทุนต่างกัน เช่น