Investment Articles

สรุปเสวนา Thailand Focus 2025 | Beyond the Challenges

งาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ร่วมกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Bank of America Securities และบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 19 แล้ว

TIF สรุปเนื้อหาจากทุกเสวนาในงาน Thailand Focus 2025 ให้ติดตามได้ในบทความนี้ หากต้องการรับชมเนื้อหาย้อนหลังฉบับเต็มเพิ่มเติม สามารถเข้าชมได้ผ่านทาง www.set.or.th/th/thailandfocus

 

คุณอัสสเดช คงสิริ
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เปิดเผยว่า งาน Thailand Focus 2025 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Beyond the Challenges” เพื่อให้ข้อมูลผู้ลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ตลาดทุน และ บจ. ไทยที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกได้พบและรับฟังข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหารระดับสูง ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคตลาดทุน สอดคล้องบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ให้ความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

งาน Thailand Focus ไม่เพียงเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอความแข็งแกร่งและความน่าสนใจลงทุนของ บจ. ไทย แต่ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งยกระดับตลาดทุน สร้างความเชื่อมั่นผ่านการทำงานกับพันธมิตรทุกภาคส่วน พร้อมพัฒนากลไกส่งเสริมการลงทุนและระดมทุน โดยผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานในปีนี้ ให้ความสนใจต่อความก้าวหน้าในประเด็นสำคัญด้านมหภาค เช่น การลงทุนและการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศการบริหารจัดการหนี้ภาคครัวเรือนและความแข็งแกร่งของภาคการเงิน ตลอดจนการปรับตัวของภาคธุรกิจให้ตอบรับกับกระแสและความท้าทายในอนาคต ส่วนการประชุมร่วมระหว่าง บจ. กับผู้ลงทุนสถาบัน ยังคงได้รับความสนใจเนื่องจากมี บจ. ที่โดดเด่นกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนความสนใจลงทุนในตลาดทุนไทย

Thailand Focus 2025 ได้รับเกียรติจาก ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงาน ชูแนวนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงร่วมให้ข้อมูลถึงทิศทางโอกาสและความน่าสนใจของธุรกิจไทยที่เป็นจุดแข็งของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมูลค่าธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและการแพทย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ วิสัยทัศน์การท่องเที่ยวไทยแบบยั่งยืน และพัฒนาการสำคัญของระบบการเงินไทยในอนาคต

งานในปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกร่วมงาน 180 ราย จาก 75 สถาบันทั่วโลก และในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และจากยุโรป ทั้งนี้ มีจากกลุ่มประเทศใหม่ ๆ ด้วย เช่น จากตะวันออกกลาง และ เอเชียใต้ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงจาก บจ. 75 บริษัท ครอบคลุมหลากหลายขนาด ในทั้ง 8 อุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมนำเสนอข้อมูลศักยภาพธุรกิจและทิศทางการเติบโตผ่านการประชุมทั้งแบบ Group meetings และ One-on-one meetings คาดเศรษฐกิจไทยอาจจะโตมากกว่า 2.2% จากแรงส่งครึ่งปีแรกที่เติบโตดี

 

หัวข้อ “Thailand’s Competitiveness & Investment Outlook” (ศักยภาพการแข่งขันและทิศทางการลงทุนประเทศไทย) โดย

  • คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
  • คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์
  • ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด
  • ผู้ดำเนินรายการ: ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

  • ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ดำเนินรายการเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้ให้ความเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ดังจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตในการลงทุนในประเทศไทยในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 35% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหลักๆ คือ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น และประเทศไทยมีความโดดเด่นสำหรับนักลงทุนเพราะมีท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ และมีโครงสร้างพื้นฐานทั้งในแง่การคมนาคมและศูนย์รวมข้อมูลชั้นนำที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเป็นอย่างมาก
  • ประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และกำลังเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป และแคนาดาอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นในด้านซัพพลายเชน โดยเฉพาะในธุรกิจยานยนต์ และเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจพลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีก้าวหน้า
  • นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น การตั้งศูนย์บริการครบวงจร (one-stop service) ที่อาคารวัน แบงคอก และการออกวีซ่า 10 ปีพ่วงใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานที่มีทักษะ เป็นต้น ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่และดึงดูดทั้งภาคธุรกิจและแรงงาน แต่สิ่งที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาก็คือความสามารถของแรงงานไทย ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

  • ดร.พิพัฒน์ ได้ตั้งคำถามถึงปัญหากำแพงภาษีของสหรัฐฯ ว่ามีผลกระทบต่อประเทศไทยในแง่ศักยภาพการแข่งขัน และความน่าดึงดูดใจในการลงทุนอย่างไร ในประเด็นนี้ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ให้ความเห็นว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประมาณหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงบริษัทในเครือ เช่น CP Axtra, CPF และ CP All ก็ยังมีการลงทุนในประเทศไทยรวมกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเช่นกัน
  • คุณศุภชัยมองว่าประเทศไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง อันจะเห็นได้จากการลงทุนด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญในอาเซียนและภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะการลงทุนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนโดยตรงอันดับหนึ่งของประเทศจีนในภูมิภาคอาเซียน
  • สาเหตุหลักที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง ก็คือการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์เชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสูง กล่าวคือ ประเทศไทยได้เปรียบในแง่ฐานที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน แรงงานที่มีทักษะ ทั้งที่เป็นแรงงานในประเทศและแรงงานต่างประเทศที่เลือกมาพำนักในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนโยบายต่างๆ ของประเทศที่ดึงดูดและเอื้อให้แรงงานและภาคธุรกิจต่างประเทศต้องการมาลงทุน/ทำงานในไทย เช่น นโยบายอนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยได้ 99 ปี เป็นต้น แม้จะมีความท้าทายต่างๆ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ประเทศไทยก็ยังเป็น “ที่ที่ใช่” สำหรับนักลงทุนในระยะยาวอย่างแน่นอน

  • ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่าบริษัทได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ด้วยความมุ่งหวังที่จะตั้งฐานที่มั่นในไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความแข็งแกร่งทางภูมิศาสตร์ และมีความต้องการในเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้ตอนนี้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีในอาเซียนและเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพที่จะขยายเป็นศูนย์กลางของโลกในอนาคต เพราะในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการลงทุน และทุกภาคธุรกิจต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการดำเนินการและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
  • นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น นโยบาย Cloud First Policy แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และประเทศไทยกำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยี เช่น หัวเว่ย ซึ่งบริษัทไม่ได้มองแค่ว่าประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังเป็นมิตรประเทศกับประเทศจีน ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์กันมายาวนานและจะพัฒนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปผ่านการลงทุนทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
  • ดร.พิพัฒน์ ได้ตั้งคำถามถึงกำแพงภาษี 19% จากสหรัฐว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไร ซึ่งในประเด็นนี้ นายนฤตม์มองว่าสงครามภาษีและสงครามเทคโนโลยีเป็นเกมระยะยาวที่สามารถปรับเปลี่ยนและเจรจาได้ตลอดเวลา ประเทศไทยในขณะนี้มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและเป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุน ทำให้ประเทศไทยยังถือว่าได้เปรียบอยู่ อีกทั้งทีมเจรจาของรัฐบาลก็กำลังพยายามเจรจากับสหรัฐอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ประเทศไทยได้ผลประโยชน์สูงสุด
  • คุณศุภชัยมองว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับประโยชน์จากกำแพงภาษีเพราะว่าในอดีตเครือฯ ได้นำเข้าวัตถุดิบจากอเมริกาใต้และยุโรป การนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐจะส่งผลดีให้กับเครือฯ ได้มากขึ้นในระยะยาว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ และ ข้าวโพด ที่ควรจะพัฒนาจากการเพาะปลูกดั้งเดิมไปสู่การเพาะปลูกแบบอุตสาหกรรม รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ต่างๆ เช่นกัน ที่ควรพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก และรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาการเพาะปลูกซึ่งกันและกัน
  • ในประเด็นซัพพลายเชน คุณชวพลมองว่าประเทศไทยได้พบกับความท้าทายอันหลากหลาย แต่ก็เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจเช่นกัน เพราะทำให้ภาคธุรกิจซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ต้องสร้างความแตกต่างในการบริการให้กับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ภาคเกษตรกรรม เป็นต้น การนำเทคโนโลยี และ AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจก็ทำให้การเพาะปลูกทำได้มาตรฐานยิ่งขึ้น และทำให้ภาคเทคโนโลยีต้องยิ่งพัฒนาตนเอง เช่น หัวเว่ยเองก็เน้นการลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากถึง 25% ของงบประมาณในแต่ละปี
  • สิ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาช่องว่างทักษะในแรงงานได้ ก็คือการวางนโยบายให้ดึงดูดแรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นทางลัดในการแก้ไขปัญหานี้แล้ว ยังเอื้อให้มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับแรงงานไทยอีกด้วย ซึ่งจะทำให้แรงงานไทยพัฒนาทักษะและสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้การลงทุนในภาคธุรกิจ Wellness และการแพทย์ในไทยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับแรงงานต่างชาติเป็นอย่างมาก

 หัวข้อ “Reforming the Market: Capital Markets at an Inflection Point” (ปฏิรูปตลาดทุน: จุดเปลี่ยนสำคัญสู่ตลาดทุนยุคใหม่) โดย

  • ศ. ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • คุณชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)
  • คุณทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
  • ผู้ดำเนินรายการ: Mr. Alex Manoonpol, Executive Director and Head of Thailand Research บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด

  • คุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่าการที่เราจะมีเงินทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศได้ เราต้องมี supply หรือผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจที่จะดึงดูดเงินทุนให้ไหลเข้ามา และสภาพคล่องก็จะตามมาหลังจากนั้น
  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน และกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนสื่อสารกับนักลงทุนมากขึ้น ภายใต้โครงการ JUMP+ ที่ทำให้พวกเขานำเอาข้อมูลของบริษัทไปสู่ตลาดมากขึ้น
  • ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เราต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งการสื่อสารหรือนำเสนอข้อมูลใหม่ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นน่าสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาว่าแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบันดึงดูดเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง รวมทั้งการสนับสนุนสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดร่วมกับ ก.ล.ต. ที่จะเปลี่ยนเงินออมให้เป็นเงินลงทุนมากขึ้น โดยดูตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นยิ่ง รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นตลาดการลงทุนให้คึกคักมากยิ่งขึ้น

  • ศ.ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่าเท่าที่ผ่านมา ทาง ก.ล.ต. มีการแก้ไขกฎระเบียบด้านต่าง ๆ โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดการปรับตัวที่จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน
  • รวมทั้งกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนมีแผนสร้างมูลค่าเพิ่ม ธรรมาภิบาล เปิดข้อมูลและสื่อสารให้กับนักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมในอนาคต รวมทั้งให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพียงครั้งหนึ่งต่อปีเท่านั้น แต่อาจจะเป็นรอบไตรมาส ในอนาคตก็จะทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับการมองเห็นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการเปิดเผยข้อมูลนั้นสอดคล้องมาตรฐานต่างประเทศ
  • สิ่งที่เรามองไปข้างหน้าก็คือ ก.ล.ต. จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงการทำ IPO process ให้กระชับมากขึ้น รวมทั้งให้โน้มไปในทางที่จะเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสมากขึ้น
  • ในส่วนของ Integrity of Market เราก็เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นการจัดการ case ต่าง ๆ ให้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่ง ก.ล.ต. ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะความรวดเร็วของการทำคดี แต่จะเน้นเรื่องระบบการ warning ที่จะนำเอาเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาใช้อย่างเช่น ดิจิทัล และเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้มากขึ้น
  • สำหรับอนาคต เราก็จะพยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจมากขึ้น สามารถใช้กฎหมายจัดการกับผู้กระทำผิดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พวก gate keeper เช่นบริษัทบัญชีต่าง ๆ นอกจากเรื่องการบังคับใช้กฎหมายแล้วก็ยังมีการกระตุ้นให้ตลาดก้าวไปข้างหน้า และคงความสามารถการแข่งขัน รวมถึงความเชื่อมั่นใน trade mechanism
  • ในขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันเร่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. บังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วขึ้นเข้มข้นขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองนักลงทุน

  • คุณชวินดา หาญรัตนกุล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยคือ
  1. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าบริษัทในตลาดคู่แข่ง แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าลงทุนอยู่บ้าง
  2. ปัญหาบรรษัทภิบาลบริษัทจดทะเบียน หรือ Corporate Governance หลายปีที่ผ่านมาได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน การฟื้นกองทุนวายุภักษ์ทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น นักลงทุนตอบรับดี
  • คุณชวินดาเรียกร้องให้มีการออกกองทุนระยะยาวมากขึ้น โดยฝ่ายนักลงทุนสถาบันได้เสนอให้มีการขยายการออมเพื่อเกษียณอายุ คือ ให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ (Mandatory Provident Fund) เนื่องจากแรงงานจำนวน 22 ล้านคน มีเพียง 3 ล้านคนเท่านั้นที่มีการออมภายใต้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคสมัครใจ หากมีกองทุนภาคบังคับดังกล่าว สภาพคล่องก็จะไหลเข้าตลาดทุนอย่างสม่ำเสมอ
  • นอกจากนี้ไทยสามารถเรียนรู้จากผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนของญี่ปุ่น ที่เรียกว่า บัญชีการออมส่วนบุคคล (Japan Individual Savings Account :NISA)ที่เป็นบัญชีให้ลงทุนรายย่อยลงทุนได้หลากหลายทั้งในกองทุนรวมและซื้อหุ้นรายตัว รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนในระยะยาวโดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนใน NISA ด้วย
  • ในเรื่องการกำกับดูแลตลาดทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. อยากให้มุ่งไปที่ระบบป้องกันการกระทำความผิดของบริษัทจดทะเบียน อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.ที่รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น ในบางจุดอยากให้มีการรวมศูนย์การกำกับดูแลไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ลดความกระจัดกระจายของข้อมูลการกำกับดูแลลง เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลใช้ข้อมูลเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับและดูแลตลาด
  • นอกจากนี้คุณชวินดา ยังต้องการเห็นการเพิ่มคุณภาพของการรายงานข้อมูลบริษัทจดทะเบียน เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนเข้าใจในสถานะที่แท้จริงของบริษัทได้ดีขึ้น ก่อนการตัดสินใจลงทุน

  • ด้านคุณทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ตอบคำถามเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มการลงทุนของ กบข.ในตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันแบ่งการลงทุนออกเป็นสองแบบใหญ่ๆ คือ 40% ลงทุนในสินทรัพย์เติบโต (Growth Asset) และ 60% ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงตราสารหนี้ (Fixed Asset) โดยจะขยายการลงทุนในสินทรัพย์ Growth Asset ไปสู่ระดับ 50% หรือ 60%
  • กบข. ยังมีการลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด หรือ Private Equity Fund ด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้บริษัทเอสเอ็มอีของไทยสามารถเติบโตจนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในอนาคต
  • นอกจากนี้ กบข.ยังส่งเสริมให้สมาชิกซึ่งมีอยู่ 1.2 ล้านราย ลงทุนมากกว่าที่กฎหมายบังคับไว้ขั้นต่ำที่ 3% ของเงินเดือน โดยสามารถออมได้ถึงระดับ 27% ของรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นการออมเพิ่มขึ้นของสมาชิก ส่วนหนึ่งจากการเกิดขึ้นของกองทุนรวมวายุภักษ์

หัวข้อ “Household Debt and Financial Vulnerability” (หนี้ครัวเรือนไทย: ความเปราะบางที่ต้องจับตา) โดย

  • ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • ดร. ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
  • คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ สมาคมธนาคารไทย
  • ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  • ผู้ดำเนินรายการ: คุณวิไลลักษณ์ ภัทรวนากุล นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด

  • ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า หากจะพูดถึงหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย เราจะเห็นว่ากลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดคือ กลุ่มคนที่เริ่มทำงาน กลุ่มวัยเกษียณก็ยังมีหนี้สิน โดยผู้ที่มีหนี้สินของประเทศเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เป็นหนี้จากการบริโภค ไม่ใช่หนี้จากการทำธุรกิจ จากการทำวิจัยพบว่า ประชากร 38% ของประเทศมีหนี้ครัวเรือน เป็นข้อมูลเฉพาะหนี้ในระบบเท่านั้น เราพบว่าคนไทยเป็นหนี้เฉลี่ยประมาณ 5 แสนบาทต่อคน และหากรวมหนี้นอกระบบ ตัวเลขก็ต้องสูงขึ้นกว่านี้มาก
  • กลุ่มคนเริ่มทำงาน หรือกลุ่มอายุ 22-29 ปี เราพบว่า 50% มีหนี้ครัวเรือน และ 1 ใน 4 ของคนที่เป็นหนี้กำลังประสบปัญหาการใช้หนี้ ซึ่งคิดว่ามาจากการที่คนกลุ่มนี้อาจไม่มีความรู้ด้านการจัดการรายได้ ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการควบคุมการใช้จ่ายหรือขาดความสามารถในการจัดการทางการเงิน ธปท. จึงพยายามช่วยด้วยการให้ข้อมูลเรื่องหนี้ครัวเรือนมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมถึงผู้ให้ยืมในการให้ข้อมูลที่โปร่งใสกับลูกหนี้มากขึ้น รวมถึงช่วยด้านข้อมูลในการจัดการทางการเงินเมื่อมีหนี้ครัวเรือน
  • ปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือนคือเมื่อลูกหนี้มีหนี้ในระบบ แล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงต้องสร้างหนี้นอกระบบ จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งในและนอกระบบ ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้รับการแก้ไข
  • อุปสรรคใหญ่ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือเราไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องของหนี้นอกระบบ เมื่อไม่มีข้อมูลเราก็ไม่ทราบจำนวนหนี้ที่แท้จริง และไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพรวมได้ ทางธปท. จึงคิดว่าทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคือการนำหนี้นอกระบบเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะการจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์และข้อกฎหมายหลายประเด็น เพื่อทำให้หนี้นอกระบบสามารถเข้ามาเป็นหนี้ในระบบได้

  • ดร. ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า ในขณะนี้ หนี้ครัวเรือนในปี 2568 มีมูลค่าอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินเชื่อหลักที่ครัวเรือนประสบปัญหาในการชำระคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อยานยนต์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงในการชำระหนี้ของครัวเรือน ที่ในปัจจุบันนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สินเชื่อเพื่อการเกษตรหรือสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพกลับไม่มีการเจริญเติบโต
  • จากการวิเคราะห์ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ พบว่าแม้บัญชีผู้ขอสินเชื่อจะมีจำนวนมากขึ้น แต่ผู้ขอสินเชื่อมีศักยภาพกู้ในจำนวนเงินที่ลดลงเรื่อยๆ และหนี้เสียมีจำนวนถึง 10.4% ของหนี้ทั้งหมด
  • ดร.ลักษมณ กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาหนี้นั้น บริษัทฯ สามารถช่วยในการให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้กู้และผู้พิจารณาสินเชื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อได้อย่างเหมาะสม และให้ผู้กู้สามารถประเมินศักยภาพในการกู้และการชำระหนี้ของตนเอง นอกจากนี้การนิยามการจัดการหนี้สินและสุขภาวะทางการเงินเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่บริษัทฯ มองเห็น เพราะทางบริษัทฯ มุ่งหวังว่าไม่เพียงต้องการให้บริการให้ข้อมูลเครดิตเพื่อจัดการความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ข้อมูลเพื่อการเตือนสถาบันการเงิน และในขณะเดียวกันก็ต้องการเตือนผู้บริโภคถึงการฉ้อโกงต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพราะในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสร้างสุขภาวะทางการเงินที่ดีให้แก่ผู้บริโภค และขยายโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ รวมถึงการขยายศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
  • สิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาคำนึงคือ แม้ว่าการเข้าถึงข้อมูลเครดิตเป็นมาตรฐานการทำงานที่สำคัญของบริษัทฯ แต่คุณภาพของข้อมูล รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าในอนาคตจะสามารถเข้าถึงข้อมูลสินเชื่อต่างๆ ของผู้บริโภคได้มากขึ้นเพื่อจะได้พัฒนาการให้บริการของบริษัทฯ ให้ดีขึ้นเช่นกัน

  • คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจนอกระบบในไทยมีสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสูงถึง 48 % และทำให้การสำรวจข้อมูลทำได้ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในเรื่องหนี้  อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น คือ รายได้ต่ำหรือรายได้ต่ำกว่าความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน
  • ปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียม กฎหมายหย่อนยานและการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตต่ำ ขาดความยืดหยุ่นทางการเงิน และความล่าช้าของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • คุณผยงยกประเด็นที่รายได้ของประเทศ หรือจีดีพีของไทยมาจากบริษัทและกลุ่มลงทุนขนาดใหญ่ที่คิดเป็นเพียง 1% ของผู้ประกอบการทั้งหมดของประเทศ แต่มีรายได้ถึง 65% ของจีดีพีทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าเกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้อย่างชัดเจน
  • นอกจากนี้ปัญหาเรื่องความโปร่งใสของผู้ให้กู้ยืม ถึงแม้ในประเทศไทยจะมีองค์กร และบริษัทต่าง ๆ ที่ให้บริการทางการเงินมากกว่า 3,000 แห่ง แต่ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนรวมถึงปัญหาหนี้นอกระบบ หากดูข้อมูลเรื่องช่วงอายุกับหนี้ครัวเรือนประเภทต่างๆ จะเห็นว่ากลุ่มคนอายุน้อย เช่นกลุ่มผู้ที่เริ่มทำงานจะมีหนี้จากการผ่อนรถ และหนี้จากการจับจ่ายใช้สอยมากที่สุด ในทางกลับกันกลุ่มผู้สูงอายุหรือวัยหลังเกษียณจะมีหนี้จากดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพียงตัวเลขจากหนี้ในระบบ ส่วนหนี้นอกระบบที่ทางธนาคารกรุงไทยได้ร่วมมือกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการสำรวจหนี้นอกระบบ พบว่าหนี้นอกระบบอาจมีมูลค่าสูงกว่าจีดีพีทั้งหมด
  • คุณผยงกล่าวว่าแนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง และปัญหาความเปราะบางทางการเงินของคนไทยนั้น ทางสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงองค์กรภาครัฐได้รวบรวมแนวทางแก้ปัญหาเรื่องการกู้ยืมเงินอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางหลัก ๆ 5 ประการได้แก่
  1. ความครอบคลุมที่รวมถึงข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทั้งภาครัฐและสถาบันการเงิน แนวทางแก้ปัญหาและทิศทางการตลาดที่มีข้อมูลครบถ้วนและรอบด้าน
  2. ความยุติธรรมหรือความเท่าเทียม คือ การตั้งราคาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรือผู้กู้ยืม อัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินที่ให้ยืมต้องมีความโปร่งใสและเป็นธรรม
  3. การแบ่งระดับอย่างชัดเจน คือการที่สถาบันการเงิน ธนาคาร รวมถึงกลุ่มสหกรณ์ต่างๆ ต้องดำเนินกิจการในระดับของตัวเองเท่านั้น ไม่ก้าวก่ายกัน
  4. การแข่งขันเสรี สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการกู้ยืมควรทำการแข่งขันอย่างเสรีและควรมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลอย่างเป็นกลาง
  5. การกู้ยืมที่มีคุณภาพ สถาบันทางการเงินต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและโปร่งใส่แก่ผู้กู้ยืม เพื่อให้ผู้ยืมสามารถกู้ยืมในจำนวนที่เหมาะสมกับความต้องการของตน และสามารถผ่อนชำระไหว
  • นอกจากนี้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ภาคประชาชน รวมถึงดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น เมื่อรัฐมีข้อมูลหนี้ครัวเรือนที่ถูกต้อง ก็จะช่วยในการออกมาตรการช่วยเหลือต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มรายได้ครัวเรือนต่อไปในอนาคต ทั้งนี้รัฐบาลต้องเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นผู้นำในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน

  • ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้ที่ต้องจัดการแก้ไขประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้ครัวเรือนถือเป็น 40% ของหนี้ดังกล่าว สิ่งที่น่าตกใจคือ จำนวน 1 ล้านล้านบาทเป็นหนี้เสีย (NPL) และทางบริษัทฯ ได้ทำหน้าที่เสมือนโรงพยาบาลที่รักษาคนไข้ด้านหนี้สินอย่างเต็มที่ แต่ในปัจจุบัน หากไม่มีการขยายศักยภาพของบริษัทฯ จะต้องใช้เวลา 7-10 ปีในการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งหมด แต่หากทางบริษัทฯ สามารถขยายศักยภาพในการทำงานได้ ระยะเวลาอาจลดลงมาเหลือเพียง 4-5 ปีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงปัญหาหนี้สินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นความท้าทายของบริษัทฯ และภาคเศรษฐกิจในประเทศไทย หลักการหนึ่งที่ทางบริษัทฯ ได้นำมาใช้คือการเข้าช่วยเหลือหนี้เสียเพื่อให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้อีกครั้ง
  • ดร. รักษ์ ยังได้แสดงความคิดเห็นว่าทางบริษัทฯ ต้องการขยายบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจซึ่งมีอยู่ 86 แห่งให้มากขึ้น และจะทำได้หากได้รับสินเชื่อและการช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งหากจะแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ในมือตอนนี้ จะต้องขยายการให้บริการสามในสี่ส่วนของศักยภาพปัจจุบัน นอกจากนี้การเพิ่มมาตรการการช่วยเหลือให้แก่ผู้กู้ที่มีหนี้เสียจะช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้สินเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ทางบริษัทฯ ยังมุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือกับกองทุนต่างๆ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สิน และดึงหนี้สินจากธนาคารอื่นมาบริหารอีกด้วย

หัวข้อ “Beyond Recovery: Transforming Thailand’s Tourism for a Sustainable and High-Value Future” (ยกระดับการท่องเที่ยวไทย: มองไกลกว่าการฟื้นตัว สู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน) โดย

  • คุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
  • คุณชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
  • Damien Pfirsch, Chief Commercial Officer, Agoda Company
  • ผู้ดำเนินรายการ: คุณนันทิกา เวียงเพิ่ม, CFA ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด

  • คุณวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาทางกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้พบกับกระแสใหม่ ๆ ในการท่องเที่ยวของไทย ทั้งในด้าน sustainability และ wellness tourism ทางบริษัทได้เปิดเวลเนส คลินิก เพิ่มขึ้นหลายแห่ง ซึ่งแยกออกมาจากธุรกิจสปา และประสบความสำเร็จอย่างมาก จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาจากเที่ยวบินระยะยาว รวมทั้งจากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง และเขายังได้พบอีกว่านอกจากการมาท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ปัจจัยด้านวัฒนธรรมก็ยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม คุณวิลเลียมเสนอแนะว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติที่สวยงาม ให้มีคุณภาพรองรับการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงดึงดูดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยว

  • ด้าน Damien Pfirsch, Chief Commercial Officer จาก Agoda Company ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในที่สองของประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ตามข้อมูลของ Agoda ซึ่งมีอัตราการเติบโต 17% ต่อปี และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนั้นมาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และที่อื่น ๆ ในเอเชีย
  • นอกจากนี้คนที่เดินทางมาประเทศไทยมียอดค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และเมื่อพูดถึงกรุงเทพฯ นั้น ในข้อมูลของ Agoda เป็นเมืองที่มีผู้มาเที่ยวซ้ำมากที่สุด มาถึง 7 ปี ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ก็มีด้านที่ลดลงของการท่องเที่ยวด้วย โดยเฉพาะจากตลาดจีน ที่เราต้องช่วยกันโปรโมทตลาดจีนให้มากยิ่งขึ้น

  • คุณชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา การบินไทยได้ทำแผนงานระยะยาวเพื่อลดแบบของเครื่องบินที่บริษัทใช้ โดยก่อนหน้านี้ การบินไทยมีเครื่องบินถึง 8 แบบ แต่ตอนนี้จะลดลงไปเหลือเพียง 4 แบบ เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุง นอกจากนี้เรื่องสัดส่วนของการบินแบบ point to point กับการ connect ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เพราะในอนาคต การเดินทางในเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตสูงที่สุดในโลก ดังนั้นเราก็ออกแบบเที่ยวบินให้เป็นไปตามข้อมูลนี้ โดยเฉพาะในครึ่งแรกของปีนี้ สัดส่วนของ direct flight กับ connect flight มาเป็น 80/20 เปอร์เซนต์ จากที่ก่อนหน้านี้ direct flight สูงมากกว่า 90%
  • การวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาจัดการทางธุรกิจเพื่อให้สามารถและได้รับผลตอบแทนมากขึ้น มีส่วนทำให้เราสามารถทำกำไรได้มากขึ้นด้วย
  • เมื่อได้รับคำถามว่าภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทางผู้ประกอบในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอะไรบ้างเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวของไทย นายวิลเลียมระบุว่า ในฐานะผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำของไทยและโลกแสดงความห่วงใยผลกระทบของความขัดแย้งที่ทำให้เกิดการปะทะกันทางทหารตามแนวชายแดนที่ผ่านมา
  • เพราะส่งผลกระทบต่อทั้งการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง“ควรกับไปสู่สันติภาพโดยเร็ว” ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาความไม่มีเสียรภาพการเมืองภายใน ขณะเดียวกันก็มีปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitics) ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • อิสราเอล-ฮามาส ความขัดแย้งชายแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่ผ่านมา และก็เกิดปัญหาขัดแย้งชายแดนกัมพูชามาซ้ำเติมอีก
  • เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ กระทบภาคท่องเที่ยวของไทยและของโลกนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกจากกัมพูชาเพื่อมาต่อเที่ยวบินที่ไทยไปยังประเทศต่างๆ ลดลง โดยหันไปใช้เวียดนามแทน
  • การลงทุนภาคเอกชนไทยที่มีมูลค่าสูงมากกำลังได้รับผลกระทบจากกระแสการต่อต้านสินค้าไทยอย่างบริษัท PTT ก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งผลกระทบเต็มที่ต่อธุรกิจไทยจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่สามปีนี้ หากความขัดแย้งยังไม่คลี่คลาย
  • นอกจากนี้ปัญหาหนึ่งของการท่องเที่ยวไทย คือ เที่ยวบินตรงไทย-ยุโรป มีไม่เพียงพอ นักท่องเที่ยวยุโรปต้องบินอ้อมไปต่อเครื่องที่ดูไบทำให้เสียเวลาในการเดินทาง และเมื่อไปถึงดูไบนักท่องเที่ยวก็อาจจะไปใช้เงินมากที่ตะวันออกกลางแทน ภาคธุรกิจโรงแรมจึงเฝ้ารอให้การบินไทยมีเครื่องบินเพิ่ม
  • ด้านคุณชาย เอี่ยมศิริ กล่าวว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เช่น การปิดน่านฟ้าของอิหร่านที่ผ่านมา หรือการปิดน่านฟ้ากัมพูชาทำให้ต้องปรับเส้นทางการบิน ต้องบินนานขึ้น ค่าใช้จ่ายน้ำมันมากขึ้น
  • ในขณะเดียวกันสงครามการค้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากรสูงทั่วโลก ทำให้คนยุโรปและแคนาดาเดินทางไปสหรัฐน้อยลง แต่เดินทางมาแถบเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น ทำให้ การบินไทยได้ประโยชน์จึงถือเป็นโอกาสในวิกฤต
  • การดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา รัฐบาลไทยจะต้องเร่งสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย เพราะคนจีนยังออกท่องเที่ยวต่างประเทศมากแต่เดินทางไปประเทศอื่น มาไทยน้อยลง
  • สำหรับความท้าทายของการบินไทยในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า คือผลกระทบจากห่วงโซ่การผลิตชะงักงันที่ผ่านมา และเครื่องบินที่มีชิ้นส่วนประกอบนับแสนชิ้น ที่ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน โรคระบาดโควิดที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตลดการผลิต ปลดคนงานออก เมื่อโลกฟื้นจากโควิด ต้องมีการจ้างงานใหม่ แต่คนงานที่ออกไปไม่ยอมกลับมาทำงานเดิม ต้องใช้เวลาในการเทรนคนใหม่ ทำให้บริษัทการบินต่าง ๆ รวมทั้งการบินไทยยังประสบปัญหาจากการขาดแคลนพนักงงาน ปัจจุบันการบินไทยต้องหันมาให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนฝึกนักบินเพื่อที่จะได้คนมาให้ทำงานให้การบินไทยในอนาคต ท่ามกลางการแย่งชิงตัวพนักงานระหว่างสายการบินต่าง ๆ

หัวข้อ “Health Tech and Advanced Therapeutic Medicine: Potential New S-Curves for Thailand’s Healthcare Industry” (เทคโนโลยีและการแพทย์ขั้นสูง: S-Curve ใหม่อุตสาหกรรมสุขภาพไทย) โดย

  • นพ. ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
  • นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE)
  • ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยเเละนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ผู้ดำเนินรายการ: นพ. นำ ตันธุวนิตย์ ที่ปรึกษาอาวุโส ด้านกลยุทธ์และธุรกรรมสุขภาพ บริษัท อีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส จํากัด

  • นพ. ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS) กล่าวถึงจุดแข็งและความเป็นเอกลักษณ์ของอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยคือ บุคลากรทางการแพทย์ของไทย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่มีความรู้ความสามารถในระดับผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาพยาบาล และคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพของไทยโดดเด่น คือ ความเอื้ออารีต่อผู้ป่วย การดูแลเอาใจใส่ และความเห็นอกเห็นใจที่บุคลากรทางการแพทย์ของไทยมีต่อผู้ป่วยนั้นถือว่าเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายของการบำบัดรักษาของโลกก็ว่าได้

  • ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยเเละนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในฐานะที่เป็นนักวิจัยและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าด้านเทคโนโลยีสุขภาพว่า รพ.ศิริราช ก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่การเป็นสถาบันวิจัยที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 1 ใน100 อันดับแรกของโลกภายใน 5-10ปีต่อจากนี้ โดยจะเน้นการวิจัย และพัฒนาเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางด้าน AI เทคโนโลยีการแพทย์ดิจิทัล พัฒนาและวิจัยด้านสเต็มเซลล์และความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคด้วยจีโนมิกส์
  • นพ.ก้องเกียรติ เสริมอีกว่า BDMS ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทย แต่ปัญหาในปัจจุบันก็คือ เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพ แต่เราต้องนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรค วัคซีนต่างๆ จากต่างประเทศ นั่นทำให้ค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูง ดังนั้นถ้าเราอยากเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของคนไทย เราต้องหาวิธีที่จะผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ภายในประเทศไทยเอง เมื่อเราสามารถทำให้ค่ารักษาพยาบาลถูกลงได้ นี่จะเป็นจุดแข็งที่จะทำให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพของไทยเข้าสู่ S-Curve ใหม่ ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะทำให้สำเร็จได้

  • นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE) กล่าวว่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในธุรกิจสุขภาพ คือ การลดเวลาในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนายาและนวัตกรรมการรักษา เมื่อก่อนต้องใช้เวลาสูงถึง 5 ปีที่จะพัฒนาและทดลองโมเลกุลต่างๆ แต่ในปัจจุบันสามารถย่นระยะเวลาเหลือเพียงแค่ 1 ปีและสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการทดลองเชิงคลินิกได้เลย
  • ในฐานะที่สถาบันฯ เป็นโครงการที่ช่วยบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startups) ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ สถาบันฯ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการให้บริการทางสุขภาพอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เรามีโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก JCI จำนวนหลายโรงพยาบาล และยังมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในหลากหลายแขนงอีกด้วย
  • นพ. ศุภชัย ยังกล่าวอีกว่าการนำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มาทำให้เป็นแผนธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสำหรับบริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย นอกจากจะต้องมีหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เข้าใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมแล้ว ขั้นตอนการขอใบอนุญาตและเอกสารทางราชการต่างๆ ในประเทศไทยเป็นขั้นตอนที่ใข้เวลานานและยุ่งยาก ในขณะเดียวกันสำหรับบริษัทไทยที่จะเดินหน้าไปสู่ต่างประเทศก็ประสบปัญหาขาดแคลนทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาล กล่าวคือรัฐบาลหรือผู้ลงทุนในไทยจะมีการสนับสนุนบริษัทที่ศึกษาวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 100,000 – 150,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่บริษัทเหล่านี้ต้องการเงินสนับสนุนมากถึง 500,000 – 1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปีจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม้ว่าจะได้รับเงินสนับสนุน ขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ เช่น อย. อาจใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งหากจะแก้ปัญหานี้ได้ รัฐบาลจะต้องสร้างทางลัดและระบบนิเวศที่เหมาะสมให้กับบริษัทเหล่านี้
  • ประเด็นที่น่าสนใจคือการสร้าง healthcare sandbox ในประเทศไทยเพื่อดึงดูดบริษัทศึกษาวิจัยทางการแพทย์ และบริษัทยาทั้งในไทยและต่างประเทศให้ได้มาทำงานร่วมกัน และเพื่อให้บริษัทต่างประเทศถ่ายทอดความรู้และแนวทางในการขอใบอนุญาตต่างๆ เช่น FDA ให้กับบริษัทในไทย ซึ่งในปัจจุบันไทยมีบริษัทวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์จำนวนมาก แต่ผลิตภัณฑ์หลักคือถุงมือยาง ดังนั้น การพัฒนาบริษัทเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีนวัตกรรมมากขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นและจะสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว
  • นพ. ศุภชัย ได้ยกตัวอย่างบริษัท Qvin ในสหรัฐที่สร้างนวัตกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการตรวจเลือดผู้หญิงผ่านแผ่นตรวจอัจฉริยะในผ้าอนามัย และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเพื่อให้ส่งผลการตรวจให้กับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว นวัตกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ
  • นอกจากนี้ การพัฒนาระบบนิเวศทางเศรษฐกิจในประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศเป็นสิ่งจำเป็นหากประเทศไทยต้องการให้แรงงานที่มีทักษะและความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศ และดึงแรงงานไทยในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศ
  • ศ.นพ. สิทธิ์ กล่าวถึงนวัตกรรมเด่นๆ จากสถาบันวิจัยของ รพ.ศิริราช ที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีการนำระบบการวินิจฉัยด้วย AI นี้ไปยังโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ รวมถึงการทำระเบียนประวัติคนไข้โดยใช้ AI ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีข้อมูลและประวัติการรักษากับตัวสะดวกต่อการไปรักษาได้ทุกสถานพยาบาล อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ทางศิริราชทำสำเร็จแล้วคือ Mobile Stroke Unit เป็นรถพยาบาลที่รักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่ โดยในรถจะมีอุปกรณ์ซีทีสแกน ที่สามารถส่งรูปภาพและข้อมูลไปยังศัลยแพทย์ที่เตรียมการผ่าตัดรักษาได้ทันทีเมื่อผู้ป่วยเดินทางถึงโรงพยาบาล รถเคลื่อนที่นี้สามารถลดเวลาในการรักษาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มอัตราการให้ยาสลายลิ่มเลือดหรือการเปิดหลอดเลือดด้วยสายสวนมากขึ้น 3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากความพิการได้ถึง 2 เท่า
  • นอกจากนี้ยังมีโครงการวิจัยด้านจีโนมิกส์ของศิริราชที่เน้นไปที่การวิจัย CAR-T Cell สำหรับการตรวจและรักษาโรคมะเร็ง โดยยกตัวอย่างว่า การรักษามะเร็งเม็ดเลือดต้องใช้เงินสูงถึง 15-16 ล้านบาทต่อคนต่อเคส ซึ่งหากทางศิริราชสามารถวิจัยและพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตได้เอง ก็จะสามารถลดค่ารักษาลงไปได้เป็นจำนวนมาก
  • สิ่งที่ประเทศไทยต้องการในขณะนี้คือ National Health Sandbox และการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการขอจดสิทธิบัตรสำหรับนักวิจัยและกลุ่มบริษัท สตาร์ทอัพที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพให้ทันสมัย เทียบได้กับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
  • นพ.ก้องเกียรติ กล่าวว่าการจะลงทุนให้ความร่วมมือกับนักวิจัยหรือสถาบันวิจัยหรือบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ต้องดูที่โอกาสการลงทุนและความเป็นไปได้ในตลาด สิ่งที่จะทำให้นักลงทุนเอกชนเข้ามาลงทุนได้ก็จำเป็นต้องมีผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งผมมองว่าประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพเพียงพอต่อการลงทุนในด้านนี้
  • ประชากร 100 ล้านคนในภูมิภาคก็เพียงพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ถือว่าตลาดผู้บริโภคใหญ่พอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุน จุดเด่นอีกอย่างของประเทศไทยคือ นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงแล้ว เรายังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ที่สามารถตอบสนองนโยบาลของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีงานวิจัยว่าการตรวจมะเร็งเต้านม สามารถตรวจได้ด้วยการทดสอบยีนส์ ภายในเวลาไม่กี่เดือน ผู้ป่วยในระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าก็สามารถรับการตรวจได้ ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของไทยในมุมมองใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่ทาง BDMS มองเห็นถึงโอกาส และได้สนับสนุนในโครงการวิจัยด้านสุขภาพของไทยในหลายๆ โครงการ เราต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน แต่เป็นการมองไปที่ประชาชน และโลกของเรา เปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สังคมที่มีความสุขคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน เริ่มจากประเทศไทยไปสู่ระดับภูมิภาค และระดับโลก เราต้องพร้อมใจกันเป็นทีมไทยแลนด์

หัวข้อ “Virtual Banks in Thailand: Opportunities, Risks, and Governance Challenges” (ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา: โอกาส ความเสี่ยง และความท้าทายในการกำกับ)  โดย

  • คุณมาณพ เสงี่ยมบุตร Chief Financial Officer SCB X
  • คุณอิทธินันท์ วัฒน์สุขสันติ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์สินเชื่อ บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด
  • ผู้ดำเนินรายการ: คุณรัชดา ศรทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

เชื่อธนาคารพาณิชย์แบบเดิมไม่ใช่คู่แข่งของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา Virtual Bank

  • คุณมาณพ เสงี่ยมบุตร Chief Financial Officer SCB X กล่าวว่า ทุนจดทะเบียนธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เริ่มต้นที่ 5 พันล้านบาท และต้องไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในระยะปกติ ถือว่าเป็นธนาคารที่มีขนาดเล็กหากเทียบกับธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) มีเป้าหมายในการให้บริการทางการเงินให้แก่กลุ่มประชาชนรายได้ต่ำซึ่งเข้าไม่ถึงการบริการทางการเงินจากระบบธนาคารปัจจุบัน
  • ธนาคารรูปแบบใหม่จะให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ จึงไม่มีการแข่งกันด้านการปล่อยเงินกู้แต่อาจจะมีการแข่งขันกันบ้างในฝั่งเงินฝาก คุณมาณพกล่าวว่าตามกฎของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ในเครือของธนาคารไทยพาณิชย์จะต้องแยกระบบ Core Banking ที่เป็นอิสระ
  • โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ท้องถิ่นของตน ( AI Native) เพื่อให้บริการกับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยเป็นลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน เพราะว่ากลุ่มไม่มีข้อมูลทางการเงินที่ระบบธนาคารดั้งเดิมต้องการเพื่อเป็นหลักฐานการกู้เงิน โดยเชื่อว่าต้นทุนการดำเนินงานจะต่ำกว่าต้นทุนของธนาคารดั้งเดิมซึ่งมีกฎระเบียบควบคุมมากมาย
  • แอปพิเคชันของ Virtual Bank จะแตกต่างจาก แอปพลิเคชัน SCB Easy ปัจจุบันโดยเน้นให้บริการที่ตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่ายและความจำเป็นของแต่ละคน และมีผู้ใช้แอป SCB Easy มากกว่า 18 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ใช้เพื่อการชำระเงิน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าถึงความต้องการทางการเงินได้ ธนาคารเสมือนจริงจะแตกต่างจากแอป Mobile Banking ปัจจุบันที่เป็น Product-Driven และไม่สามารถปรับแต่งได้ง่าย เนื่องจากข้อจำกัดของระบบเดิมที่ซับซ้อน การเริ่มต้นใหม่จะช่วยให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้

  • คุณอิทธินันท์ วัฒน์สุขสันติ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์สินเชื่อ บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด กล่าวถึงการแข่งขันกับธนาคารดั้งเดิมว่าอาจจะมีส่วนที่ทับซ้อนกับบ้างในเรื่องการรับฝากเงิน แต่ไม่ใช่คนหนึ่งได้คนหนึ่งเสีย Zero-Sum Game ธนาคารรูปแบบใหม่กับธนาคารเดิมสามารถร่วมมือกันได้ Virtual Bank ของเครือซีพีและพันธมิตรจะได้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่ม อย่างเช่น ได้ร่วมใช้ข้อมูลและประสบการณ์จาก ทรูมันนี่ TrueMoney ซึ่งมีคนใช้แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์นี้มากกว่า 30 ล้านคน
  • มองว่าธนาคารเสมือนจริงเป็นก้าวสำคัญที่จะเติมเต็มการเดินทางทางการเงินของลูกค้า จุดแข็งของ แอสเซนด์ มันนี่ คือการผสานฐานผู้ใช้งาน TrueMoney กว่า 30 ล้านรายเข้ากับเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง โดยมีเป้าหมายคือการทำให้ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้าผ่านความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า การเข้ามาของธนาคารเสมือนจริงจะมีประโยชน์ในสามด้านหลัก ได้แก่ 1) การเสนอสินเชื่อที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยใช้ข้อมูลทางเลือก (alternative data) สำหรับกลุ่ม Gig Worker และผู้ค้าขนาดเล็ก 2) การให้บริการแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบและเน้น Mobile-First ที่เข้าถึงง่าย เชื่อถือได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงธนาคาร และ 3) การขยายบริการนอกเหนือจากสินเชื่อ เช่น การออม การลงทุน และผลิตภัณฑ์คุ้มครอง ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลตามข้อมูลลูกค้า
  • ธนาคารไร้สาขาของกลุ่มจะพัฒนาระบบการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่อาศัยการใช้ข้อมูลจากเครือข่ายทางธุรกิจ การใช้ข้อมูล Big Data ตั้งเป้าให้บริการการเงินแก่ลูกค้าที่ไม่มีประวัติทางการเงิน ไม่มีสลิปเงินเดือน นอกจากจะปล่อยเงินกู้อย่างรับผิดชอบแล้วยังจะเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแก่ลูกค้าด้วย
  • ต่อคำถามที่ว่า Virtual Bank จะทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงของไทยร้ายแรงขึ้นหรือไม่ เพราะการทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงโอกาสในการกู้ยืมที่สูงขึ้น
  • คุณมานพกล่าวว่า Virtual Bank จะช่วยในเรื่องการนำเอาลูกหนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น และจะไม่ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเลวร้ายลงไป ปัจจุบันนี้ หนี้ครัวเรือนนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก ภาคการกู้ยืมนอกระบบของประเทศไทยนั้นมีขนาดใหญ่มาก เราเชื่อว่าหากมี Virtual Bank เข้ามาจะช่วยให้คนที่เคยกู้นอกระบบกลับเข้ามากู้ในระบบมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นปัญหาสำคัญมากที่เราต้องการที่จะแก้ไข
  • อย่างไรก็ตามคุณมานพกล่าวว่า Virtual Bank จะไม่ช่วยทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนดีขึ้น หากว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ Virtual Bank กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง ซึ่งจะขณะนี้ยังคงมีความคลุมเครืออยู่ก็น่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยเรื่องหนี้ครัวเรือนได้ อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายจะต้องช่วยกัน  และมานพเห็นว่าปัญหารายได้ต่ำเป็นต้นตอหลักของหนี้ครัวเรือน ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมักหันไปพึ่งพิงหนี้นอกระบบ การยกระดับรายได้ของพวกเขาเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด
  • คุณอิทธินันท์เห็นด้วยกับคุณมานพ โดยยกตัวอย่างว่า ในพอร์ทโฟลิโอของบริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด พบว่า 50% ของผู้ยื่นกู้ไม่เคยกู้เงินในระบบ เพราะถูกปฏิเสธจากธนาคารหรือสถาบันการเงินมาก่อน และสิ่งที่พวกเขาทำก็คือไปกู้ยืมเงินนอกระบบ ไปพึ่งพิงพวกปล่อยกู้ที่คิดดอกเบี้ยสูง ทางบริษัทได้ใช้ข้อมูลและประสบการณ์ของบริษัทให้เงินกู้แก่พวกเขา สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่เขายืมเงินไปทำไม และบริษัทให้เงินกู้แก่เขาอย่างไร อย่างเช่น เราให้กู้ยืมจำนวนไม่มากนัก และช่วยให้พวกเขาบริหารหนี้  พวกเขาอาจจะนำเอาเงินกู้นี้ไปดำเนินธุรกิจต่อไป ซึ่งโดยปกติ พวกเขาจะต้องไปหาพวกเงินกู้นอกระบบอยู่แล้ว แต่เมือเขาหันมาเรา ก็จะสามารถติดตาม หรือมีข้อมูลของพวกเขา  ซึ่งนั่นจะทำให้การนำพวกเขาเข้ามาอยู่ในระบบที่สามารถเก็บข้อมูลและติดตามได้
  • โดยสรุป คือ การมีเป้าหมายร่วมกันในการการสร้างสรรค์ ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นในยุคดิจิทัลไปพร้อมกับการรับมือกับความท้าทายต่างๆ

 

 

Categories: Investment Articles