Thailand Focus จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในทุกปี เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศไทย และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุนทั่วโลก โดยในปีนี้ Thailand Focus 2024 ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Adapting to a Changing World” เพื่อนำเสนอการก้าวไปในอนาคตภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
Thailand Focus 2024 มีเนื้อหาเสวนาที่หลากหลายประเด็นทั้งในด้านโอกาสการลงทุน และทิศทางของเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย รวมถึงการเผชิญหน้ากับความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรมใหม่ และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ลงทุนโลกให้ความสำคัญจากมุมมองของผู้แทนภาครัฐ ตลาดเงินตลาดทุน และผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจของบริษัทชั้นนำ
TIF สรุปเนื้อหาฉบับย่อจากทุกเสวนาในงาน Thailand Focus 2024 ให้ติดตามได้ในบทความนี้ หากต้องการรับชมเนื้อหาย้อนหลังฉบับเต็มเพิ่มเติม สามารถเข้าชมได้ผ่านทาง www.set.or.th/thailandfocus
1. กล่าวต้อนรับ

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กล่าวถึงงานเสวนาปีนี้ ภายใต้ธีม “Adapting to a Changing World” การเสวนามีหลากหลายหัวข้อ โดยเน้นที่ธุรกิจและการลงทุนที่สำคัญ ตลอดจนโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ได้รับข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับภูมิทัศน์การลงทุนเศรษฐกิจของประเทศไทย
- ประเทศไทยกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรมใหม่ และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก ซึ่งต่างก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของการปรับตัวของประเทศไทยเพื่อไปสู่ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจใหม่
- ความก้าวหน้าของตลาดทุนไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ผลกระทบของการปรับตัวของอุตสาหกรรม และการลงทุน รวมทั้งศักยภาพของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในภูมิภาค
- บทบาทของนวัตกรรมดิจิทัลในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งระบุถึงโอกาสจากนโยบายที่จะเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง
- เป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผู้ลงทุนสามารถพบโอกาสใหม่ ๆ และก่อให้เกิดประโยชน์สังคมในวงกว้าง
ทิ้งท้ายไว้ว่า ในทุกการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสใหม่เกิดขึ้น ให้ปรับตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้า และมองเห็นแนวทางใหม่ ๆ ที่จะปรับตัวสู่อนาคต
2. ก้าวทัน การเปลี่ยนแปลง จุดพลังการเติบโต | Embracing Change, Igniting Growth

ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
กล่าวถึงกลยุทธ์ในการสร้างความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างยั่งยืน ดังนี้
- การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)
- การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ เป็นผลกระทบจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก (Global Geopolitical Tension) การเมือง และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า
- ในปีนี้สามารถคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจได้จากตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แสดงให้เห็นถึงการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว คาดหวังที่ 2.3-2.8% ในครึ่งปีหลังนี้ได้ และรัฐบาลจะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภาครัฐร่วมด้วย
- พัฒนาเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีพื้นที่ตั้งที่ได้เปรียบ ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงานที่พร้อม รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และสนับสนุนการลงทุนจากทั้งภายในและต่างประเทศ
- มาตรการจากรัฐบาล
- สร้างแรงจูงใจให้กับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานการก่อตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น 64% โดย 63% เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้เล็งเห็นถึงการตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมมูลค่าสูง (High-valued industry) และศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงการพัฒนาธรรมาภิบาล การเปิดกองทุนวายุภักษ์ และโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
- การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงและพลังงานสีเขียว โดยภาคการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลัก
- สร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ระบบรถไฟความเร็วสูง และการเชื่อมต่อชายฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย เชิญชวนผู้ลงทุนให้มองหาโอกาสลงทุนในประเทศไทย เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
3. พลิกฟื้นตลาดทุน: เพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมั่น | Revitalizing Capital Markets: Boosting Efficiency and Restoring Confidence

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดทุนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายจากเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการของผู้ลงทุนเปลี่ยนแปลงไป ความสามารถในการปรับตัวจึงจำเป็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้วางบทบาทของตลาดทุนไทยในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก ได้แก่
- เสาหลักที่ 1: ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น
- การกำกับดูแลและธรรมาภิบาลเป็นหัวใจสำคัญ
- เพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยีและ AI ในการตรวจสอบความผิดปกติของคำสั่งซื้อขายหรือกิจกรรมที่ไม่ปกติ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลโปรแกรมเทรดดิ้งและ Short Selling
- ส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
- เสาหลักที่ 2: การเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุนไทย
- เน้นการสร้างความสนใจจากผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
- สนับสนุนอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง ส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและความร่วมมือระดับโลกให้บริษัทขนาดใหญ่เข้าลงทุนและธุรกิจสตาร์ทอัพให้เติบโตเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai และ SET
- อัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ร่วมกับ Nasdaq
- เสาหลักที่ 3: การส่งเสริมความยั่งยืน
- ส่งเสริมการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ส่งเสริมบรรษัทภิบาลและการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ระดับสูง สอดคล้องกับกองทุน TESG ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนผ่านแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ระดับสูง
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ฟื้นคืนกองทุนวายุภักษ์และเสนอเครื่องมือที่ดีขึ้นในการประเมินบริษัทจดทะเบียนได้ โดยร่วมมือกับ FTSE RUSSELL รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ESG ใหม่ และสนับสนุนธุรกิจครอบครัว
4. ความท้าทายนโยบายการเงินไทย: บริหารความเสี่ยงในสภาวะแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลง | Thailand’s Monetary Policy Challenge: How to Manage the Risks in a Changing Global Environment

ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย การดำเนินนโยบายการเงิน สรุปได้ดังนี้
- แนวโน้มเศรษฐกิจ
- เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่สาขาต่าง ๆ ฟื้นตัวไม่เท่ากัน การฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี โดยมาสสี่ปีที่แล้วโตติดลบ GDP ลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลของงบประมาณรัฐบาลล่าช้า ส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เศรษฐกิจไทยในไตรมาสหนึ่งของปีนี้เติบโต 1.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ GDP ไตรมาสสองโต 0.8% จากไตรมาสแรก คาดการณ์ GDP ทั้งปีจะเติบโต 2.6%
- อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% แต่เงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ราคาสินค้าเพียงบางรายการที่มีราคาลดลง แต่ยังไม่ลดลงในวงกว้าง
- การดำเนินนโยบายการเงิน
- คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี ในการประชุมเมื่อ 21 สิงหาคม 2567 ให้ความสำคัญกับแนวโน้มข้างหน้า มากกว่าที่จะอิงกับข้อมูลตลาดโดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องดังต่อไปนี้
- ระดับการเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโต 2.6% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า ถือว่าไม่สูง แต่สอดคล้องกับศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของไทย การที่จะทำให้ GDP เติบโตสูงกว่าระดับนี้ ทางเดียวคือการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน การลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี
- เงินเฟ้อไทยลดลง และกำลังกลับเข้าสู่เงินเฟ้อเป้าหมาย เศรษฐกิจไม่ได้ไหลลงสู่ภาวะเงินฝืด ทั้งนี้ เงินเฟ้อไทยต่างจากประเทศอื่น เงินเฟ้อภาคบริการของไทยไม่สูง ค่าเช่าทรงตัวและดึงเงินเฟ้อลง
- เสถียรภาพการเงิน จากปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งอยู่ในระดับสูงถึง 90% ต่อ GDP ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงมาที่ระดับ 80% ต่อ GDP
- จากที่ภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เท่ากัน ภาคท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวดี แต่ภาคการผลิตอ่อนแอ เนื่องมาจากการฟื้นตัวของรายได้ของประชาชนก็ไม่เท่ากัน รายได้ยังไม่ฟื้นตัวดี หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากช่วงโควิดระบาด
- แม้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่าฟื้นตัวตามไปด้วย คาดสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้นไป แต่ไม่ถึงขึ้นรุนแรง และคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงต่อไป
- นโยบายการเงินนั้นพร้อมปรับหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เน้นนโยบายผสมสาน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการรองรับความเสี่ยง นอกจากนโยบายดอกเบี้ยก็ยังมีมาตรการอื่น ๆ เช่น การให้เงินกู้อย่างรับผิดชอบของสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้
- คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี ในการประชุมเมื่อ 21 สิงหาคม 2567 ให้ความสำคัญกับแนวโน้มข้างหน้า มากกว่าที่จะอิงกับข้อมูลตลาดโดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องดังต่อไปนี้
5. ตลาดทุนไทยปรับ-รับโลกเปลี่ยน | How Thailand’s Capital Market Can Adapt to the Changing World


Mr. Lyndon Chao
Managing Director, Head of Equities and Post Trade สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินเอเชีย
กล่าวถึงมุมมองและความสามารถในการปรับตัวของตลาดทุนไทย สรุปได้ดังนี้
- ตลาดทุนไทยมีความสามารถในการปรับตัว การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานเช่นเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่เป็นเสมือนแรงปะทะแก่ตลาดทุนไทยมีหลายปัจจัย เช่น สภาพคล่องที่ลดลง สถานการณ์เครดิต ราคาหุ้นตกต่ำ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และการเมือง
- ตลาดทุนของไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดทุน ASEAN ถึง 37% และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นในช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจเป็นเพราะตลาดทุนจีนมีสภาพคล่องลดลง
- การเรียนรู้จากกรณีศึกษาประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ JPX แนะนำให้บริษัทต่าง ๆ สร้างธรรมาภิบาลให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อใจระหว่างบริษัทและผู้ลงทุน
- โครงการปฏิรูปเงินบำนาญที่เหมาะสม รวมถึงแรงจูงใจทางภาษีอาจช่วยดึงดูดให้ประชาชนลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำมาตรการกำกับดูแลการลงทุนที่นำมาใช้ ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาด้วยเช่นกัน

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กล่าวถึงการปรับตัวของตลาดทุนไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง สรุปได้ดังนี้
- ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ท้าทายกับตลาดทุนไทยเพราะมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย ความไม่มั่นคงทางการเมือง และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก การที่ประเทศไทยจะสามารถสร้างสมดุลได้นั้น จะต้องให้ความสำคัญแก่บรรษัทภิบาลเพิ่มขึ้น
- กลุ่มธุรกิจสุขภาพและการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ตลาดทุนไทยเริ่มมีผลิตภัณฑ์ด้านการเงินการลงทุนเพิ่มขึ้น มีบริษัทมากกว่า 160 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทที่ลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ และมีความหลากหลายในขนาด ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ ยังมีถึง 14 บริษัทได้รับการจัดระดับให้อยู่ในระดับ Gold Class S&P Global 2024 Sustainability Yearbook
- มาตรการการกำกับดูแลจะต้องได้รับการประเมินผลติดตาม
- อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ของตลาดทุนไทยครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี การเสริมสร้างให้ตลาดทุนไทยเติบโตในสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงนี้ ความมั่นคงของรัฐบาลและนโยบายการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญ

ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กล่าวถึงการสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตลาดทุนประเทศไทยที่ท้าทายหน่วยงานกำกับดูแล สรุปได้ดังนี้
- เป้าหมายของสำนักงาน ก.ล.ต. คือการเพิ่มความเชื่อมั่นไว้วางใจในความโปร่งใสและยุติธรรมในตลาดทุนไทย ซึ่งมีฐานทางด้านพัฒนาการของเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับนานาชาติ
- การเพิ่มการกำกับดูแล กระตุ้นตลาดด้วยการเพิ่มผู้ลงทุนมืออาชีพ และใช้เทคโนโลยีในการป้องกันพฤติกรรมไม่พึงประสงค์เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
- ด้านกฎหมายพยายามเสนอมาตรการที่จะเร่งกระบวนการการดำเนินคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด โดยการเสนอกฎหมายหลายอย่าง เสนอการเร่งกระบวนการการดำเนินคดีและการคุ้มครองพยาน
- ด้านเทคโนโลยีร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนที่ลดความซ้ำซ้อน และความล่าช้าในการดำเนินได้
- ออกมาตรการ 4 กลุ่ม
- การรู้ตัวตนลูกค้า
- การควบคุมพฤติกรรมไม่เหมาะสม
- การควบคุมความผันผวนของราคาหลักทรัพย์
- การเปิดเผยข้อมูลคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสม
เพื่อความยุติธรรมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน
- ร่วมมือกับกระทรวงการคลังภายใต้แนวคิดเปลี่ยนเงินออมไปเป็นการลงทุน ในการกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่อง เช่น การเปิดบัญชีให้รวดเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการเป็นมาตรการเดียวกัน (Single form) ทั้งในกลุ่มผู้กำกับดูแลและผู้เล่นในตลาด มาตรการต่อไปจะให้พวกมืออาชีพเข้าสู่เซ็กเมนท์รายย่อยมากขึ้น รวมไปถึงการขยายกองทุนวายุภักษ์
- ร่วมมือกับกระทรวงการคลังภายใต้แนวคิดเปลี่ยนเงินออมไปเป็นการลงทุน ในการกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่อง เช่น การเปิดบัญชีให้รวดเร็วขึ้น และทำให้กระบวนการเป็นมาตรการเดียวกัน (Single form) ทั้งในกลุ่มผู้กำกับดูแลและผู้เล่นในตลาด มาตรการต่อไปจะให้พวกมืออาชีพเข้าสู่เซ็กเมนท์รายย่อยมากขึ้น รวมไปถึงการขยายกองทุนวายุภักษ์

6. โอกาสพลิกเกมธุรกิจไทย: รับกระแสอุตสาหกรรมใหม่และการย้ายฐานการลงทุน | Game-Changing Opportunities in Thailand: The Rise of New Industries and Investment Relocations


คุณณัฐพรรษ ตันบุญเอก
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) – WHA
กล่าวถึงมุมมองการลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศ สรุปได้ดังนี้
- เอกชนต้องการให้รัฐบาลส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI)
- ผู้ลงทุนต่างชาติมาเช่าที่ในนิคมของ WHA เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่มาลงทุน เช่น การผลิตรถไฟฟ้า (EV) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และบริษัทกำลังพยายามดึงผู้ลงทุนมาผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยด้วย
- ผู้ลงทุนจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ลงทุนญี่ปุ่นยังลงทุนสะสมมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้ลงทุนทั้งจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา
- การผลิตรถไฟฟ้า (EV) ช่วงแรกผู้ลงทุนจีนนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์มาประกอบเป็นหลัก แต่ปีหน้าจะมีการผลิต EV ในโรงงานในประเทศไทยมากขึ้น

คุณสมิทธ์ พนมยงค์
Executive Officer บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) – GULF
กล่าวถึง มุมมองการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ของผู้ลงทุนต่างประเทศย สรุปได้ดังนี้
- ผู้ลงทุนต่างชาติต้องการเห็นความต่อเนื่องและมั่นคงของนโยบายรัฐบาล โอกาสความเท่าเทียม ขณะเดียวกันบริษัทใหญ่ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กในประเทศได้
- เห็นด้วยกับมาตรการคุ้มครองบริษัทขนาดเล็กและกลาง SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกของจีนเข้ามาตีตลาด โดยไม่ใช้เฉพาะการขึ้นภาษีกับสินค้าจีน แต่ต้องดูด้านคุณภาพสินค้า และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
- การลงทุนของผู้ลงทุนจีนในการผลิตรถ EV ต้องใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย
- ไทยนำเข้าบริการดิจิทัลมาก ดังนั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เช่น
- การใช้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติเพื่อซื้อสินค้า หรือการบริโภคบริการบันเทิงผ่านแพลตฟอร์มของต่างชาติ
- กัลฟ์ได้ลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมแสดงความมั่นใจว่าสามารถผลิตพลังงานสะอาดสนองความต้องการของธุรกิจในไทย

คุณศุธาศินี สมิตร
รักษาการตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
กล่าวถึงปัจจัยสำคัญของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สรุปได้ดังนี้
- ปัจจัยสำคัญของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ คือ ไทยต้องสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงเพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น แรงงานมีทักษะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- การที่รัฐบาลส่งเสริมการตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในไทยก็มีส่วนช่วยดึงดูดการลงทุน รวมถึงทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางบริการการเงิน (Financial Hub) ก็จะมีส่วนช่วยดึงดูดการลงทุนมากขึ้น

7. ประเทศไทย: ก้าวสู่ศูนย์กลางทางการแพทย์ชั้นนำของโลก | Thailand: Emerging as a Leading Medical Hub


ดร. นิพัฒน์ กุหลาบขาว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)
กล่าวถึงโอกาสในภาคการท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ สรุปได้ดังนี้
- ตลาดการท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ทั่วโลกมีมูลค่า 103,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตปีละ 20% คาดว่าจะถึง 284,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2032 โดยประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน มีมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตประมาณปีละ 43% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 16,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030
- จุดเด่นของประเทศไทย ได้แก่ มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ทรัพยากรธรรมชาติ การต้อนรับอบอุ่น และวีซ่าที่ราคาจับต้องได้มากกว่าประเทศอื่น
- เทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังเปลี่ยนจากการรักษาสู่การป้องกันซึ่งมีราคาถูกกว่า
- การใช้เทคโนโลยี AI เพื่อการแพทย์ ในการวินิจฉัยและรักษา เป็นผลดีกับคนไข้มากขึ้น
- การสร้างเครือข่ายดิจิทัลเฮลท์แคร์ และการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อดึงดูดการลงทุนและผู้ป่วยต่างชาติ เน้นคุณภาพมาตรฐานการแพทย์ระดับบน และหากป่วยหนัก เช่น มะเร็ง ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดหัวใจ ซึ่งมารักษาที่ประเทศไทยไม่ต้องรอคิวนาน
- ลูกค้าหลักของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้แก่ คนไทย 50% และชาว ASEAN 50% รวมถึงกลุ่มจากตะวันออกกลางและประเทศอื่น ๆ ที่เน้นเส้นทางระยะใกล้ ถ้าป่วยและต้องเดินทางด้วยเครื่องบินนานกว่า 6 ชั่วโมง
- ประเทศไทยเป็นทั้งตลาดการท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์ และผู้นำด้านการบริการสุขภาพ ดังนั้น การท่องเที่ยวเพื่อการแพทย์และสุขภาพเป็นแหล่งรายได้สำคัญมาก ร่วมกับจุดแข็งมิตรไมตรีของคนไทย ยังมีโอกาสพัฒนาได้อีกไกลด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐ

คุณศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร
รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กล่าวถึงการขยายตัวของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางและการพัฒนาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สรุปได้ดังนี้
- ตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเติบโตดี โดยเฉพาะจากซาอุดิอาระเบีย
- ในปีนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายให้กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกลมีสัดส่วน 27% และนักท่องเที่ยวคุณภาพ 40%
- การเติบโตของจำนวนเที่ยวบินจากตะวันออกกลางมีแนวโน้มดีจนถึงปีหน้า และความนิยมของการท่องเที่ยวในช่วงซัมเมอร์ โรงเรียนปิดเทอม และสภาพอากาศร้อน ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
- แนวโน้มการท่องเที่ยวปี 2024-2025 ได้แก่ การท่องเที่ยวแบบหรูหรา Slow Holidays การใช้ AI ในการวางแผนท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
- รูปแบบการท่องเที่ยวน่าสนใจ
- การรวมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเข้าด้วยกัน (Bleisure market)
- การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน น่าจับตามองเพราะจากการสำรวจพบว่า 83% ของนักท่องเที่ยวจาก UAE ยินดีที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นให้กับที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- การใช้ AI ในการวางแผนการท่องเที่ยวได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพราะเป็นเครื่องมือที่น่าเชื่อถือ ราคาถูก และประหยัดเวลา
- การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นนโยบายสำคัญที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขัน
- เห็นได้จากโครงการศูนย์สุขภาพขนาดใหญ่ Andaman Wellness Economic Corridor และ Hua Hin Wellness Coast
- การทำ Roadshow ที่นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบียที่ห่างหายความสัมพันธ์กับประเทศไทยไป 32 ปี การไปแสดงวิสัยทัศน์และนำข้อมูลไปให้ประเทศต่าง ๆ จึงเป็นมาตรการที่จำเป็นเช่นกัน

ดร. อัครพล คุรุศาสตรา
ผู้ช่วยอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่เชื่อมโยงศูนย์กลางทางการแพทย์ สรุปได้ดังนี้
- มีมาตรการเสริมความสามารถในการแข่งขันด้วยแผนการทำงาน Medical and Wellness Valley ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรเฉพาะสำหรับการตั้งเมืองอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ
- ส่งเสริมการลงทุนทางตรง (FDI) ในการผลิตผลิตภัณฑ์ยา เครื่องมือทางการแพทย์และสุขภาพ มีการใช้สิทธิประโยชน์การลงทุน (BOI) และมาตรการทางภาษี
- การเจรจาเพื่อสร้างความร่วมมือในการกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์กับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council หรือกลุ่มประเทศ GCC
- การออกวีซ่าทางการแพทย์ (อายุ 1 ปี) และวีซ่าสุขภาพ (อายุ 10 ปี) เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

8. นวัตกรรมดิจิทัลพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทานไทย | How Thailand is Transforming Its Supply Chain with Digital Innovation


คุณปฐมา จันทรักษ์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย
กล่าวถึงมุมมองในฐานะที่ปรึกษาระบบคลาวด์ สรุปได้ดังนี้
- ให้การปรึกษาลูกค้าเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นดิจิทัลนั้นสามารถทำได้รวดเร็วมากขึ้น โดยมีการขยายการให้บริการในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว รวมถึงตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย
- ควบรวมบริษัทท้องถิ่นอย่างเช่น Rabbit’s Tale เพื่อขยายการให้ธุรกิจ และให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ
- เป้าหมายคือให้บริการใน 3 ด้าน คือ
- การลดต้นทุน
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- การปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานขององค์กร
โดยมีพนักงานเป็นคนไทยถึง 70% จากจำนวนพนักงานทั้งหมด มองประเทศไทยเป็นศูนย์ที่สำคัญของการบริการลูกค้าในภูมิภาค
- การตั้งศูนย์ข้อมูลในไทยมีความสำคัญทั้งด้านข้อกำหนดทางกฎหมายและความปลอดภัยของระบบเครือข่าย
- เทคโนโลยี AI กำลังถูกใช้ในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ไม่ได้อยู่แค่ภาคการเงินอีกต่อไป
- การลงทุนใน AI นั้นให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี แต่ผู้ใช้ต้องรู้วิธีปกป้องและวิธีใช้ข้อมูลก่อน ทุกอุตสาหกรรมกำลังใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ เพราะเทคโนโลยีนี้ช่วยให้ธุรกิจ ตัดสินใจได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อตลาดได้ทันที จะเห็นบริษัทต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น และทุกคนควรใช้เทคโนโลยี AI เพื่อให้โลกดีขึ้น และยั่งยืนขึ้น

คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์
Country Manager, Amazon Web Services
กล่าวถึงมุมมองการพัฒนาเทคโนโลยี โอกาสที่เกิดจากการมีศูนย์ข้อมูล สรุปได้ดังนี้
- AWS จะเปิดศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยในปีหน้า พร้อมการลงทุนรวม 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.9 แสนล้านบาท) โดยพิจารณาถึงเสถียรภาพของประเทศ ความมั่นคงของเครือข่ายด้านดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีที่สุด
- AWS ได้ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วมูลค่าประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลางสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
- ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ AWS มีแผนอบรมบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 100,000 คนในสองปีข้างหน้า
- การมีศูนย์ข้อมูลในไทยจะช่วยให้บริการและติดต่อกับลูกค้าได้เร็วขึ้น
- การลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีจะช่วยให้สตาร์ทอัพในไทยมีศักยภาพในการเติบโตและกลายเป็นยูนิคอร์นในอนาคต สตาร์ทอัพจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของ ASW และเชื่อมั่นว่า ไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีระบบคลาวด์ อย่างน้อยในภูมิภาค CLMVT (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย)

คุณพชร อารยะการกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
กล่าวถึงมุมมองการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สรุปได้ดังนี้
- เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการบริหารต้นทุนได้ การดึงเอาข้อมูลจากระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ของบริษัทมาวิเคราะห์เพื่อทำนโยบายลดค่าใช้จ่ายได้ รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ ทำให้สามารถบริหารแบบมีความยืดหยุ่นและทันกับสถานการณ์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
- ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังปรับตัว ข้อมูลจากระบบคลาวด์จะสามารถทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะปรับลดหรือขยายการดำเนินงานเพื่อปรับต้นทุนให้เหมาะสมได้ตลอดเวลา
- ทำงานร่วมกับบริษัทใหญ่ในไทยเพื่อปรับระบบให้เป็นดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะ AI ที่ปรับใช้กับส่วนต่าง ๆ เช่น
- ช่วยในการวิเคราะห์ความต้องการตลาดและปรับการผลิตให้เหมาะสม ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- ช่วยในการคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุนและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ในการผลิต

9. การรับมือภาวะโลกเดือด: โอกาสและความท้าทายของธุรกิจภายใต้นโยบายใหม่ | Climate Action in Thailand: Business Opportunities and Challenges under New Policies


นายคุณปวิช เกศววงศ์
รองอธิบดี กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
กล่าวถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ดังนี้
- ประเทศไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30-40% ภายในปี ค.ศ. 2030 และ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065
- การบรรลุเป้าหมายนี้ประเทศไทยจะต้องดำเนินการ ลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ยุติการใช้โรงงานถ่านหิน ลดการใช้พลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
- การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด หรือ Nationally Determined Contributions (NDCs) (ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเพื่อบรรลุความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement ในความพยายามกำจัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์) ลดก๊าซเรือนกระจก 40-60% ผ่านร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ
- สถาบัน
- การบรรเทาผลกระทบ
- การปรับตัว
- การพัฒนาสิ่งแวดล้อม
- สามารถบรรลุเป้าหมายผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน การสร้างกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ทุนแก่หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานระดับท้องถิ่น หรือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดมาตรการและรายละเอียดในการตรวจสอบและเก็บภาษีเพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบ
แก่สิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการ CBAM ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยรัฐบาลจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากผู้นำเข้าสินค้าในปี ค.ศ. 2026 เป็นต้นไป - ร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยคาดว่าจะผ่านในช่วงปีหน้าหรือปีถัดไป
ซึ่งจะกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากบริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง ก็จะต้องจ่ายภาษีคาร์บอนสูง หรือต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากรัฐบาลเพื่อชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเริ่มจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมก่อนและขยายผลไปสู่บริษัทอื่น ๆ ต่อไป

คุณชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
กล่าวถึงแนวปฏิบัติของภาคธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
- ภาคธุรกิจต้องเข้าใจก่อนว่า CFO (Carbon Footprint Organization) หมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร และ CFP (Carbon Footprint Product) คือปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์
- ธุรกิจวาง Road Map สู่ Neutral Carbon 2030 และ Net Zero 2050 ซึ่งครอบคลุมถึงการปล่อยคาร์บอนและ คาร์บอนใช้ในการผลิต และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงและทางอ้อม โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
– ขั้นที่หนึ่ง: การปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องมือ ลดการใช้พลังงาน
– ขั้นที่สอง: Nature-Based Solutions คือ การดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการ ปกป้อง และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
– ขั้นที่สาม: Climate Technology คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งยากที่สุด ต้องใช้การบูรณาการทั้งระบบนิเวศ ซัพพลายเชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อเป็น Fully integrated Ecosystem Across Supply chain
ขั้นที่หนึ่งและสอง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10-20% ส่วนอีก 80% ที่เหลือขึ้นอยู่กับขั้นตอนที่สาม
- พลังงานหมุนเวียนเพื่อความยั่งยืน โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชม. ทุกวันตลอดทั้งปี ขณะที่พลังงานหมุนเวียนจะมีข้อจำกัด การตอบโจทย์พลังงานเพื่อความยั่งยืนนั้นจะต้องสามารถปิดช่องว่างด้านระยะทางและเวลา เช่น การใช้เทคโนโลยี Ultra-High Voltage Transmission

นายยาโชวาดัน โลเฮีย
Chairman of the ESG Council บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)
กล่าวถึงนโยบายและแนวปฏิบัติเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ดังนี้
- บริษัทด้านเคมีระดับโลก และเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกและขวดน้ำพลาสติก PET ได้วางเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ลดลง 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเปลี่ยนจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงมาใช้พลังงานชีวภาพและการรีไซเคิล เช่น อ้อย การรีไซเคิลและการนำกากพืชกากสัตว์ หรือส่วนที่เหลือจากผลิตภัณฑ์การเกษตรมาใช้ในกระบวนการการผลิตใหม่
- ความท้าทาย คือ มาตรการต่าง ๆ มีต้นทุนสูงในการดำเนินการตามมาตรการ และส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยลดลง เนื่องจากการลงทุนในประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน
- ยกตัวอย่างกรณีศึกษาประเทศในยุโรป หลายโรงงานปิดตัวเพราะมาตรการภาวะโลกร้อนและสงคราม โดยการขึ้นภาษีจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
- การดำเนินธุรกิจสีเขียวต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อบรรเทาต้นทุนและปัญหาทางเศรษฐกิจ เพราะกระบวนการในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรม (Carbon Capture) มีราคาสูง
- ข้อดีของประเทศไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ขณะที่ Carbon Footprints ของไทยต่ำกว่าประเทศที่ใช้ถ่านหินอยู่มาก
- ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ผู้บริโภคอาจจะยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้นให้กับผู้ผลิตที่ใส่ใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะจับจ่ายอย่างประหยัดขึ้น ทำให้ภาคการผลิตจะต้องวางแผนการผลิต ที่ทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่ก็ยังมีผลกำไรมากพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้

//
Categories: Investment Articles, Knowledge Resources, Special Content