นักลงทุนทั้งมือใหม่มือเก๋า น่าจะเคยได้ยินคำว่า ราคาเป้าหมาย ราคาพื้นฐาน มูลค่าพื้นฐาน หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะเรียกว่า Target Price หรือ Fair Price หรือ Fair Value กันมาบ้าง ทั้งหมดนั้น คือสิ่งเดียวกัน โดยในบทความนี้จะขอใช้คำว่า “Fair Price” นะครับ โดยเจ้า Fair Price นี้เป็นตัวบอกว่า หุ้นนี้ ราคาที่เหมาะสมดีงามตามท้องเรื่อง ณ ตอนนี้ มันควรจะเป็นกี่บาท
► Fair Price สามารถคำนวณมาได้จาก 2 แนวทางหลัก ๆ
1. Relative approach หรือ Market multiples Approach (เทียบความถูกแพงกับค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้น)
1.1) แบบแรกก็คือ Price to Book Value (หรือ P/BV) ซึ่งก็คือการ เอา Book Value หรือราคาตามงบการเงิน (ตามบัญชี) ของบริษัท ที่เราคาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ P/BV ratio ของอุตสาหกรรมเดียวกัน ประมาณว่า ความถูกแพงในระยะยาวของหุ้นแต่ละตัวจะปรับเข้าสู่ตัวเลขใกล้ ๆ กัน คือ ควรจะมี P/BV ใกล้ ๆ กันทั้งอุตสาหกรรม เช่น หุ้น XYZ คาดว่าจะมี Book Value เท่ากับ 15 บาท/หุ้น และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี P/BV Ratio 2 เท่า ก็พอจะประมาณได้ว่า ราคาหุ้น XYZ ที่เหมาะสมคือแถว ๆ 30 บาท
1.2) แบบที่สองคือ Price to Earning (หรือ P/E) ก็คือการเอากำไรต่อหุ้น (Earning per share) ของบริษัที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า คูณกับ Price to Earning Ratio (P/E Ratio) ของอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยอิงหลักการเหมือน P/BV เช่น หุ้น DEF คาดว่าจะมีกำไร 5 บาท/หุ้น และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี P/E Ratio เท่ากับ 15 เท่า ก็พอจะกะได้ว่า ราคาหุ้น DEF น่าจะอยู่แถว ๆ 75 บาท
2. Discount Cash Flow Approach (คิดลดกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต)
2.1) แบบแรกคือ Dividend Discount Model คือการเอาประมาณการเงินปันผลที่ผู้ลงทุนจะได้รับในอนาคตมาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้ เช่น คาดว่าหุ้น HIJ จะจ่ายปันผล 10 บาทในปีหน้า โดยมี discount rate ที่เหมาะสม (ซึ่งมีทฤษฎีที่เรียกว่า Capital Asset Pricing Model หรือ CAPM มาเป็นตัวช่วยในการคำนวณ) คือ 10% และเงินปันผลของหุ้นนี้มีการเติบโตปีละ 5% ก็จะคำนวณได้ว่า ราคาหุ้น HIJ ควรจะเท่ากับ “10 บาท / (10% – 5%)” ซึ่งเท่ากับ 200 บาท โดยวิธีการคำนวณแบบนี้เรียกว่า Gordon Growth Model
2.2) แบบที่สองคือ Free Cash Flow Discount คือการเอาประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่เจ้าของกิจการจะได้รับในอนาคต มาคิดเป็นมูลค่าในวันนี้ ซึ่งการคำนวณก็มักจะใช้ Excel เป็นตัวช่วย โดยจะคำนวณไล่มาตั้งแต่ รายรับ รายจ่าย จนเหลือเป็นกระแสเงินสุทธิในแต่ละปี แล้วเอามาคิดลดด้วย Discount Rate ที่เหมาะสม (ซึ่งเรียก Discount Rate นี้ว่า Weighted Average Cost of Capital หรือ WACC)
เมื่อเอาก้อนกระแสเงินสดที่คิดลดแล้วในแต่ละปีมารวมกัน ก็จะได้ Fair Price ของหุ้นในที่สุด
อย่างไรก็ดี ในการคำนวณ Fair Price ต้องทำหลาย ๆ วิธี และดู Range ของตัวเลขที่คำนวณได้ ไม่ใช่การคำนวณออกมาค่าเดียวแล้วฝังใจใช้ไปเลย เพราะอนาคตไม่แน่นอน จะมีช่วงราคาที่มันเป็นไปได้อยู่ช่วงหนึ่ง ไม่ใช่จุดใดจุดเดียว ในการตัดสินใจลงทุน ก็ดูว่า ราคาตลาดในปัจจุบัน มันอยู่แถว ๆ ไหน เมื่อเทียบกับช่วงที่คำนวณได้นั้น เช่น ตอนนี้ราคา 50 บาท แต่คำนวณช่วงราคาที่ควรเป็นได้ประมาณ 70-90 บาท แบบนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะขอบล่าง สูงกว่าราคาปัจจุบัน แต่ราคาคำนวณได้ที่ 45-60 บาท แบบนี้ก็น่าสนใจน้อยลงมา เพราะก้ำกึ่ง
► ถ้าขี้เกียจ หรือไม่สามารถคำนวณ Fair Price ได้เอง ควรทำยังไงดี ?
จริง ๆ ก็มีทางลัดให้ไปดูตัวเลข Fair Price ที่นักวิเคราะห์ค่ายต่าง ๆ เขาทำมาให้แล้ว และเปิดเผยไว้ในเว็บไซต์ settrade.com ในส่วน IAA Consensus
อย่างในรูปเป็นตัวอย่างของหุ้น ADVANC ซึ่งมีนักวิเคราะห์ 12 ค่าย ประเมิน Fair Price ไว้ให้แล้ว ซึ่งเขาก็จะใช้แนวทางการประเมินข้างต้นในการคำนวณ แตกต่างกันไปแล้วแต่ความถนัดของแต่ละค่าย รวมถึงมีสมมติฐานและมุมมองในอนาคตต่างกันไปด้วย
จะเห็นได้ว่า ค่าเฉลี่ยของ Fair Price สำหรับหุ้น ADVANC ในช่วงนี้ (จะแสดงข้อมูล 30 วันย้อนหลัง) คือ 207 บาท ซึ่งเราพอจะเอาตัวเลขนี้เป็นแนวทางตัดสินใจได้ เนื่องจาก 1) ยังสดใหม่อยู่พอสมควร สะท้อนข่าวสารข้อมูลที่มี ณ ตอนนี้ไปแล้ว และ 2) ไม่ลำเอียงเพราะเป็นค่าเฉลี่ยจากหลายเจ้า
► แล้วถ้าอยากศึกษาแบบลงลึกจนคำนวณเองได้ มีทางเลือกยังไงบ้าง ?
1. ศึกษาเอกสารที่ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Adviser หรือ FA) เปิดเผยต่อตลาด เมื่อมีดีลซื้อขายกิจการ
อย่างในรูป เป็นดีลที่บริษัท EE ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า ก็จะต้องมีการคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ เพื่อเทียบว่า ราคาที่ซื้อขายกันนั้น สมเหตุผลหรือไม่ โดยลองคำนวณหลาย ๆ วิธีแล้วเอามาดูว่า Range เป็นอย่างไร ซึ่งรูปที่คัดมา เป็นแค่บางช่วงบางตอนเท่านั้นเพื่อให้พอเห็นภาพ แนะนำให้ดู เอกสารฉบับสมบูรณ์ จะดีที่สุดครับ
2. อ่านหนังสือวิชาการด้านการลงทุน
อย่างในรูป เป็นชุดหนังสือเตรียมสอบ Certified Investment and Securities Analyst หรือ CISA Level 2 ในหมวด การประเมินมูลค่าสินทรัพย์
(ที่มา www.set.or.th)
3. ศึกษาหลักวิชาการประเมินมูลค่าหุ้นผ่านหลักสูตรออนไลน์
ตัวอย่างเช่น วิชา Private Equity and Venture Capital ของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่าง Università Bocconi ผ่านทางเว็บไซต์ coursera.org ซึ่งเป็นหลักสูตรเรียนเอง 5 สัปดาห์จบ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แถมถ้าเรียนจบ ทำข้อสอบผ่าน ก็สามารถเลือกขอรับ Certificate จากมหาวิทยาลัยได้อีกด้วย (มีค่าออก certificate $49) … เท่ซ้าาา
โดยเฉพาะ Week 4 นี่เป็นการสอนคำนวณมูลค่ากิจการแบบเนื้อ ๆ แต่เข้าใจง่าย มีซับอังกฤษและไฟล์ PowerPoint แจกฟรีด้วย
ใครอ่านจบหรือเรียนจบ ก็แทบจะสมัครงานด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) หรือ งานวิเคราะห์ตราสารทุน (Equity Analysis) ได้เลย
ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจให้ชัด ๆ ก่อนนำ Fair Price ไปใช้ ว่า Fair Price นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตามเวลาที่ผ่านไป ตามข้อมูลสถานะของกิจการ และตามมุมมองของคนประเมิน ห้ามหลงเข้าใจผิดว่า ตัวเลขนี้จะคงเดิมไปตลอดไม่มีวันเปลี่ยนแปลง … แต่กระนั้น ตัวเลข Fair Price ที่ได้มา ณ วันนี้ ถ้าถูกคำนวณมาอย่างดี มีหลักการถูกต้อง และทำอย่างตรงไปตรงมา โดยนักวิเคราะห์ที่มีคุณวุฒิถูกต้องครบถ้วน ก็พอจะใช้เป็นข้อมูลที่ดีที่สุดเท่าที่มี ณ ตอนนี้ (Best available information at this moment) สำหรับการตัดสินใจ ณ ตอนนี้ได้ (แปลว่า ถ้าไม่ใช้ข้อมูลนี้ ก็ไม่มีอย่างอื่นที่ดีกว่าแล้วในเชิงการวิเคราะห์มูลค่า อย่างอแง) … ส่วนใครจะใช้ Technical Analysis ช่วยดูจังหวะซื้อขายประกอบไปด้วย ก็ไม่ผิดอะไรครับ
